ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยว่า อาการชักแบบหัวเราะ หรือ Gelastic seizure เป็นอาการชักชนิดหนึ่ง ซึ่งพบไม่บ่อย เกิดได้ตั้งแต่เด็ก มักจะเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิดของสมองส่วนไฮโปธาลามัส ลักษณะคล้ายเนื้องอก เรียกว่า hypothalamic harmatoma  อุบัติการณ์ของอาการชักแบบหัวเราะที่เกิดจาก Hypothalamic harmatoma ในการศึกษาต่างประเทศ พบประมาณ 1 ต่อ 2 แสนในประชากรอายุน้อยกว่า 20 ปีอาการชัก มักจะเริ่มในขวบปีแรก แต่บางรายอาจจะเริ่มอาการในช่วงเด็กโตได้ ลักษณะคือ หัวเราะแบบไม่มีเหตุผล เป็นพักๆ เสียงหัวเราะไม่ได้เกิดจากความขบขัน หรือ มีความสุข  ในเด็กโตบางครั้งอาจจะสามารถบอกว่ามีสัญญาณเตือนก่อนมีอาการหัวเราะได้ เช่น ความรู้สึกแปลกๆ เป็นต้น อาการชักแบบหัวเราะ มักจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 30-45 วินาที และอาจจะตามด้วยอาการชักแบบอื่นๆได้ เช่น เหม่อไม่รู้ต้ว เกร็งกระตุกทั้งตัว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาการชักแบบหัวเราะ ยังอาจจะพบเกิดจากพยาธิสภาพส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากไฮโปธาลามัสได้เช่นกัน ได้แก่ สมองส่วนหน้า ส่วนขมับ เป็นต้น 

นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา  เปิดเผยว่า เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจจะสับสนกับอาการพฤติกรรมผิดปกติ ในเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการ สมาธิสั้น หรือ ออทิสติกร่วมด้วย ทำให้การวินิจฉัยล่าช้าได้ สิ่งที่สำคัญของการวินิจฉัย คือ การสังเกตอาการของเด็กจากบุคคลใกล้ชิด หรือ การถ่ายวีดีโออาการดังกล่าวเมื่อมาปรึกษาแพทย์ จะช่วยในการวินิจฉัยได้ การตรวจวินิจฉัยที่สำคัญ คือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เพื่อวินิจฉัยแยกอาการชักหรือไม่ใช่อาการชัก และ การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และเน้นบริเวณ hypothalamus เพื่อหาความผิดปกติของเนื้อสมองบริเวณไฮโปธาลามัส หรือตำแหน่งอื่นๆที่อธิบายอาการชักได้ชัดเจน  การรักษาอาการชัก เริ่มต้นด้วยการใช้ยากันชักที่รักษาอาการชักชนิดเฉพาะที่ อย่างไรก็ตาม โรคลมชักที่เกิดจาก hypothalamic harmatoma มักจะคุมชักได้ยากแม้จะใช้ยากันชักหลายชนิด ดังนั้น การรักษาที่เหมาะสมคือการผ่าตัดเอาเนื้อสมองส่วน harmatoma ออก ซึ่งเป็นการผ่าตัดสมองในส่วนลึกและผ่าตัดยาก ถือเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อน แต่สามารถทำให้โรคลมชักหายขาดได้เมื่อผ่าตัดสำเร็จ นอกจากนี้อาจจะมีการใช้รังสีรักษาเฉพาะที่ แต่ไม่ค่อยพิจารณาทำในเด็ก ในเด็กที่มี hypothalamic harmatoma  อาจพบภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย หรือความผิดปกติของฮอร์โมนอื่นๆร่วมด้วย เนื่องจากความผิดปกติของสมองส่วน hypothalamus จะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน ดังนั้นการรักษาโรคนี้ จึงต้องติดตามภาวะฮอร์โมนที่ผิดปกติร่วมด้วยเสมอ

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

เรื่องที่เกี่ยวข้อง