ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.ยัน  "ยาฟาวิพิราเวียร์" ใช้รักษาโควิดตามข้อมูลวิชาการ  ย้ำ! ผลการศึกษาการใช้ยาฟาวิฯ ของไทย พบว่า แม้ไม่ได้ช่วยลดความรุนแรงของโรคหรือลดจำนวนไวรัส แต่เมื่อใช้ในกลุ่มไม่มีปัจจัยเสี่ยง และมีอาการน้อยๆ อาการหายเร็วขึ้น  

เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ โรงพยาบาล(รพ.) ราชวิถี 2 (รังสิต) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีที่นักวิชาการหลายท่านออกมาแสดงความเห็นถึงการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อรักษาอาการผู้ป่วยโควิด-19 ว่างานวิจัยต่างประเทศ ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะไม่สามารถช่วยลดความรุนแรงของโคงวิด-19 พร้อมเสนอให้ถอดยาฟาวิพิราเวียร์ออกจากการการรักษาในประเทศไทย ว่า สธ. มีคณะกรรมการวิชาการด้านการใช้ยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ โดยออกมาเป็นแนวทางการใช้ยาตามหลักวิชาการด้านการแพทย์ เพื่อการนำมาปฏิบัติ ดังนั้น สธ.ยืนยันว่าการรักษาโดยยา เวชภัณฑ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่มีหลักวิชาการ มีการรับรองจากผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ ไม่ใช่มาจาก รมว.สาธารณสุข อย่างแน่นอน 

“ไม่ทราบว่าจะไปต่อล้อต่อเถียงกับคนไม่เกี่ยวข้องอย่างไร เราต้องเชื่อถือคนที่เกี่ยวข้อง รักษาจริงที่หน้างาน ช่วงก่อนที่ไม่มียาโมลนูพิราเวียร์ ยาแพกซ์โลวิด ยาเรมเดสซิเวียร์ ทุกคนก็ร้องหาแต่ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็แล้วแต่ แต่หน้างานก็ยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นล้านๆ คน เมื่อได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ตั้งแต่เริ่มมีอาการก็หายทุกคน แม้กระทั่งยาปัจจุบันที่รักษาโควิด-19 แต่หากอาการบานปลายไปแล้ว ก็ไม่ใช่รักษาได้ทุกคน” นายอนุทินกล่าว

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กรมฯ ยินดีรับทุกความเห็น โดยเฉพาะที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ทั้งนี้ แนวทางรักษาผู้ป่วยโควิดของไทยมีผู้เชี่ยวชาญที่กรมฯ ได้เชิญมา เช่น คณะแพทย์ที่เกี่ยวข้อง สมาคมโรคติดเชื้อ สมาคมอุรเวชช์ ซึ่งเรามีข้อมูลวิชาการที่ รพ.ศิริราช ทำไว้แล้ว ทั้งนี้ ข้อมูลจากต่างประเทศที่สรุปมานั้นมีวิธีศึกษาต่างกัน โดยต่างประเทศเป็นการให้ผู้ป่วยประเมินเอง มีความหลากหลายของผู้ป่วย และให้ยาช้า แต่ประเทศไทยใช้บุคลากรแพทย์ประเมิน ทำการศึกษาในกลุ่มที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ใน 24 ชั่วโมงแรกกับกลุ่มไม่ได้รับ ดังนั้นวิธีการวัดผลจึงต่างกัน อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาการใช้ยาฟาวิฯ ของไทย พบว่า แม้ไม่ได้ช่วยลดความรุนแรงของโรคหรือลดจำนวนไวรัส แต่การใช้ในกลุ่มผู้ไม่มีปัจจัยเสี่ยง และมีอาการน้อยๆ อาการหายเร็วขึ้น เปรียบเทียบกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดที่สามารถใช้ยาแก้ไข้ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส

“พบว่าคนไม่มีปัจจัยเสี่ยง อาการน้อยๆ อาการหายเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้รับยา กรมฯ ไม่ได้จะแย้งใคร แต่จะให้ข้อมูลว่า ทุกครั้งที่มีการคุยในกลุ่มผุ้เชี่ยวชาญ นำข้อมูลทุกอย่างมาคุยกัน ซึ่งตอนนี้กำลังปรับแนวทางปรับต่อไป ซึ่งผมก็พูดไม่ได้ว่ายาฟาวิฯ จะอยู่หรือไม่ เพราะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญระดมความคิดกัน” นพ.สมศักดิ์กล่าว

 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org