ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ปลัดสธ.เผยผลประชุมร่วม 3 กระทรวงฯ เตรียมรับนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย ใช้มาตรการเดียวกันหมด ไม่เลือกปฏิบัติ ยกเว้นประเทศใดให้มีการตรวจ RT-PCR ก่อนเข้าประเทศตัวเอง ขอให้ทำประกันสุขภาพ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายหากผลเป็นบวก ย้ำ! อย่ากังวล ไทยผ่านสถานการณ์โควิดมาเข้าปีที่ 4 มีความรู้ มีข้อมูลวิชาการ ขณะที่คนไทย และทั่วโลกมีภูมิคุ้มกันทั้งจากติดเชื้อ และวัคซีน ส่วนเชื้อไม่ได้กลายพันธุ์รุนแรง จึงอย่ากังวลตามโซเชียลฯ ขอให้มั่นใจกระทรวงสาธารณสุข

 

เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมร่วม 3 กระทรวงเตรียมพร้อมนักท่องเที่ยวจีน ว่า ได้มีการประชุมร่วม  3 กระทรวงฯ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศไทย ที่ทำเนียบรัฐบาลช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการต่างๆ ยึดตามกฎหมายที่มี ไม่มีการเลือกปฏิบัติ โดยมีคณะกรรมการวิชาการตามพ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ซึ่งมีนพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานคณะกรรมการฯ เข้าร่วมประชุม และยืนยันว่า มาตรการที่ออกมายึดตามหลักทางการแพทย์และสาธารณสุข ยึดตามข้อมูลที่มีอยู่จริง ส่วนที่กังวลกัน เข้าใจว่าหวังดี แต่อาจยึดข้อมูลจากต่างประเทศ จากโซเชียลฯ ที่มีทั้งจริงและไม่จริง จนทำให้เกิดข้อกังวล ขอยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขยึดหลักการวิชาการทั้งหมด ดังนี้

1.มาตรการอะไรก็ตามที่ออกมาเป็นไปตามมาตรฐานประเทศไทย เน้นความปลอดภัยของคนที่เข้ามาและความปลอดภัยของคนไทยเป็นหลัก ซึ่งสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิดนั้น จริงๆโอมิครอนไม่ได้กลายพันธุ์จนเกิดปัญหาหนักๆเลย ไม่มีการดื้อยา ดื้อวัคซีน

2.ภูมิคุ้มกันของคนไทยและทั่วโลกขณะนี้ มีค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นจากการติดเชื้อ หรือจากวัคซีน

3.ระบบการจัดการของกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าระวัง การรักษา ยา เวชภัณฑ์ มีเพียงพอ

4.จากการประเมินมาตรฐานของไทย ให้นักท่องเที่ยวเข้ามามีการฉีดวัคซีน ซึ่งตรงกับองค์การอนามัยโลก แต่หากมีข้อกำหนดในบางประเทศว่า ก่อนเข้าประเทศเข้าต้องมีการตรวจ RT-PCR เราก็ยินดี แต่หากตรวจแล้วเป็นบวก เขาจะเข้าประเทศตัวเองไม่ได้ ก็จะค้างในประเทศไทยเพื่อรักษา จึงขอว่า ประเทศใดๆมีข้อกำหนดดังกล่าวให้ตรวจ RT-PCR ก่อนนั้น ก็ขอให้ทำประกันสุขภาพด้วย เพื่อหากติดโควิดจะได้ไม่เป็นภาระกับกระทรวงสาธารณสุขไทย

*ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการพิจารณาค่าเหยียบแผ่นดินร่วมกับประกันสุขภาพด้วยหรือไม่... นพ.โอภาส กล่าวว่า ค่าเหยียบแผ่นดิน เป็นเรื่องของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งยังไม่ได้กำหนดรายละเอียด แต่เรื่องประกันสุขภาพ คือ ประเทศใดๆมีข้อกำหนด RT-PCR ก่อนเข้าประเทศต้องทำประกันสุขภาพ เพราะหากเป็นบวกต้องรักษาในไทยจะมีค่าใช้จ่าย ดังนั้น ต้องทำประกันสุขภาพ จะได้ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้ เรียกว่า เป็นมาตรการพ่วง อันนี้รวมทุกประเทศที่จะมีการประกาศตรงนี้

*เมื่อถามว่ากระทรวงสาธารณสุขจะต้องกำชับอะไรเพิ่มเติมเรื่องข้อกังวลการระบาดจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาอย่างไร นพ.โอภาส กล่าวว่า ย้ำอีกครั้งอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ให้ข้อมูลว่าไม่น่ากังวล ซึ่งสายพันธุ์โอมิครอนในไทยไม่ได้กลายพันธุ์มาก ขณะที่จีนก็ไม่แตกต่าง และทั่วโลกก็เช่นกัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ ยืนยันข้อมูลตามหลักวิชาการ ตั้งแต่ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมาก็เป็นไปตามคาดการณ์ ไม่ได้กังวลมาก ขอให้ยึดตามข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข

*ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่าคนไทยหากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไม่ต้องกังวล เพราะมีภูมิฯ หากติดก็ไม่รุนแรงใช่หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า  “ ไม่ได้แปลว่าจะไปลันล้าตลอด เพียงแต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เป็นหลักประกันว่า หากติดเชื้อก็จะไม่รุนแรง แต่หากที่ใดมีความเสี่ยงก็ต้องระมัดระวัง จึงต้องย้ำว่า การใส่หน้ากากอนามัยในจุดเสี่ยงก็จะเป็นเครื่องมือป้องกันได้

*เมื่อถามว่า การตรวจน้ำใช้บนเครื่องบินมีมาตรการอะไรหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้พูดเรื่องนี้ คือ การตรวจพีซีอาร์ไวมาก มีแค่ตัวโมเลกุลไม่เท่าไหร่ เศษซากเชื้อยังตรวจได้ แต่ก็จะเป็นวิธีในการตรวจได้เช่นกัน ซึ่งกรมควบคุมโรคมีการตรวจอยู่ รายละเอียดให้สอบถามทางกรมควบคุมโรคได้ เช่น หากมาจากฝั่งตะวันตก หรือตะวันออกก็จะมีการสุ่มตรวจได้

*ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีประกันสุขภาพจะมีการกำหนดขั้นต่ำหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า มี แต่เป็นเรื่องที่หน่วยงานเกี่ยวข้องไปหารือกัน

*ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีคำถามว่า เพราะเหตุใดไทยจึงไม่ต้องตรวจเชื้อโควิดนักท่องเที่ยวก่อนเข้าประเทศ เพราะกังวลว่าอาจมีการฟักตัวและแพร่เชื้อได้หรือไม่  ปลัดสธ. กล่าวว่า ตอนนี้เชื้อมีอยู่ทั่วโลก ค่อนข้างพิสูจน์ยากว่าติดเชื้อก่อนหรือมาอยู่ในไทยแล้วติดเชื้อ จริงๆสายพันธุ์จีน บ้านเราเจอมาหมดแล้วอย่าง BA.5 เราก็เจอมาแล้ว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิดตอนนี้เข้าปีที่ 4 แล้ว จึงไม่ควรคิดเหมือนช่วงระบาดแรกๆ เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา อย่าคิดแบบเดิม อย่าคิดโดยใช้ความรู้สึกเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เราต้องดูตามหลักฐานที่มีอยู่จริง ตอนนี้เรามีความรู้มากพอแล้ว นักวิชาการ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่า ไม่ต้องกังวลมาก ทั้งในแง่สายพันธุ์ ภูมิคุ้มกันเราก็มีเพิ่มขึ้น คนทั่วโลกก็มีภูมิฯมากขึ้น เพราะฉีดวัคซีนกันมากกว่า 80% แล้ว จึงไม่น่ามีเหตุการณ์รุนแรง ขอให้มั่นใจว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ประมาท เรามีมาตรการและติดตามประเมินผลตลอด ขอให้มั่นใจว่า ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ

“เราไม่เลือกปฏิบัติ เพียงแต่ประเทศใดให้มีการตรวจ RT-PCR ก่อนเข้าประเทศตัวเอง เราก็จะให้มีการทำประกันสุขภาพ ส่วนจังหวัดท่องเที่ยว มาตรการที่เราใช้ได้ดี อย่างโรงแรม มีระบบSHA Plus ก็ให้ทำให้เข้มข้นเช่นเดิม ทั้งฉีดวัคซีนพนักงาน ระบบระบายอากาศ ก็ให้ทำ ซึ่งกรมควบคุมโรคมีมาตรการเฝ้าระวังอยู่แล้ว” นพ.โอภาส กล่าว

*เมื่อถามวัคซีนให้นักท่องเที่ยว นพ.โอภาส กล่าวว่า ไทยมีเพียงพอ และหากนักท่องเที่ยวจะฉีด เราก็ยินดี เพราะไทยเรามีนโยบายเมดิคัล ฮับ เราก็มีให้ได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่าย ส่วนจะฉีดแอสตร้าฯ หรือไฟเซอร์ หรือชนิดใดก็เป็นเรื่องสมัครใจของนักท่องเที่ยว แต่มีค่าบริการอยู่ในรูปแบบเมดิคัล ฮับ  ส่วนคนไทยขอให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 4 เดือนแล้วให้มาฉีดกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608