ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ปลัดสธ. ชี้ โควิด-19 กระเพื่อมหลังสงกรานต์ ไร้นัยยะสำคัญ ขณะที่องค์การอนามัยโลกจัดชั้น XBB.1.16  ไม่น่ากังวล ส่วนกรณีโรงเรียนแพทย์เป็นการสื่อสารคลาดเคลื่อน ยามีเพียงพอ โมลนูพิราเวียร์ยังมี

 

เมื่อวันที่ 18 เมษายน  ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามสถานการณ์โควิด-19 ว่า ในที่ประชุมวันนี้ทางกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์โควิด-19 หลังสงกรานต์ที่มีประชาชนออกมาร่วมกิจกรรมจำนวน อาจทำให้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ แต่ไม่ได้มีนัยยะสำคัญ เพราะการติดเชื้อก่อนหน้านี้อยู่ในระดับที่ต่ำมาก และด้วยเป็นโรคประจำถิ่น ก็จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามช่วงการระบาด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไปร่วมกิจกรรมสงกรานต์ ก็ขอให้อยู่ห่างจากกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และหากมีอาการป่วย ก็ให้ตรวจ ATK

องค์การอนามัยโลกเผยสายพันธุ์ XBB.1.16 ไม่รุนแรง

นพ.โอภาส กล่าวว่า ข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิดทั้ง 12 เขตสุขภาพ ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจสะสมไม่ถึง 20 ราย และสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิต 2 ราย ขณะที่ สายพันธุ์โควิดที่ระบาดในไทย ตอนนี้ยังเป็นลูกผสมโอมิครอน XBB.1.5 ส่วนลูกผสม XBB.1.16 ที่มีการรายงานพบผู้ติดเชื้อในไทย ภาพรวมยังเป็นโอมิครอนอยู่ ส่วนการกลายพันธุ์ก็เป็นไปตามธรรมชาติ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่ต้องติดตาม ไม่ใช่สายพันธุ์ที่ต้องกังวล เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลในแง่ว่าจะมีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่น ส่วนการติดเชื้อง่ายขึ้น หรือ หลบภูมิคุ้มกัน นั้น ข้อมูลทางห้องปฏิบัติการ ระบุว่า อาจติดได้ง่ายขึ้นแต่ไม่มีนัยยะสำคัญในภาพรวม ดังนั้น การดูสถานการณ์ต้องดูสายพันธุ์ อาการทางคลินิก และข้อมูลระบาดวิทยา ไม่สามารถดูข้อมูลด้านเดียวได้

นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนความกังวลเรื่องยาต้านไวรัส ต้องย้ำว่าหากมีอาการรุนแรง ยาต้านไวรัสยังใช้ได้ดี ทั้งฟาวิพิราเวียร์ เรมเดสซิเวียร์ โมนูพิราเวียร์ แพกซ์โลวิด รวมถึงภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (LAAB) ซึ่งเมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) มีการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญ ได้ให้คำแนะนำเรื่องการให้ยาต้านไวรัส ในกลุ่มอาการน้อยไม่ต้องกินยา ส่วนกลุ่มที่มีอาการมากก็ให้ใช้ยาต้านไวรัสได้ ซึ่งตอนนี้มียาเพียงพอ เช่น โมนูพิราเวียร์มีสำรองกว่าล้านเม็ด แพกซ์โลวิดสำรองมากกว่าหมื่นราย เรมเดสซิเวียร์มีมากกว่าแสนโดส ขณะที่การฉีดวัคซีนโควิด ที่ประชุมวันนี้มีความเห็นว่า จะให้ฉีดเป็นวัคซีนประจำปีเหมือนไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น ยุทธศาสตร์การจัดการจะเหมือนโรคประจำถิ่น

 

1 พ.ค. รณรงค์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ พร้อมโควิดทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม วันที่ 1 พ.ค. นี้ จะมีการรณรงค์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่พร้อมกับวัคซีนโควิดทั่วประเทศ โดยจะเน้นในกลุ่มเสี่ยง คือ บุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่ม 608 ซึ่งการฉีด 2 วัคซีน ก็จะป้องกันได้ทั้ง 2 โรค ที่มีอาการคล้ายกัน เพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัด เมื่อมาตรวจก็พบว่า ร้อยละ 15 เป็นไข้หวัดใหญ่ มีเพียงร้อยละ 3 ที่เป็นโควิด

 

“โดยบ่ายวันนี้ทางแพทย์สภาจะมีการสื่อสารกับแพทย์ทั่วประเทศ ให้รับทราบข้อมูลตรงกัน เพราะข้อมูลในโซเชียล ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว จากนั้น ก็จะสื่อสารไปยังอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ขณะนี้เราต้องระวัง ไม่ใช่สบายใจมากเกินไป แต่ถ้าตื่นตระหนกเกินไปก็อยู่ยาก” ปลัดสธ. กล่าว

 

เมื่อถามถึงการฉีดวัคซีนโควิด พร้อมกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะต้องฉีดอย่างไร นพ.โอภาส กล่าวว่า สำหรับฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะฉีดช่วงก่อนฤดูฝน ส่วนวัคซีนโควิดสามารถฉีดห่างจากเข็มสุดท้าย 3 เดือน หรือหลังจากหายติดเชื้อแล้ว 3 เดือน

 

โรงเรียนแพทย์แจงอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน เรื่องการใช้ยา

เมื่อถามว่าโรงเรียนแพทย์บางแห่ง ระบุว่าอาจไม่ได้ใช้ยาบางชนิดในการรักษา นพ.โอภาส กล่าวว่า ซึ่งการประชุมวันนี้ ทางโรงเรียนแพทย์ดังกล่าว ได้ชี้แจงว่า อาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากเป็นการสื่อสารภายในและมีเอกสารทั้ง 2 ฉบับ โดยทาง สธ. ยื่นยันว่า ยายังมีความเพียงพอ

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงการจัดหายาและวัคซีนโควิด-19ในตอนนี้ นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ระบบปกติ โดยรพ.รัฐสามารถจัดหายารักษาได้เอง แล้วเบิกค่าใช้จ่ายจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ส่วนวัคซีนรัฐเน้นให้บริการกลุ่มเสี่ยงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กลุ่มประชาชทั่วไปรับได้ฟรีตามสมัครใจ อย่างไรก็ตามทั้งยาและวัคซีนโควิด-19 รพ.เอกชนก็สามารถจัดหามาให้บริการได้เองแล้ว หากประชาชนไปรับบริการที่รพ.เอกชน ก็ต้องเสียเงินเองตามระบบปกติ