ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ปลัดสธ.เผยนโยบายยกระดับบัตรทอง อาจใช้ '30 บาทพลัส' ชู 2 เรื่องหลัก เน้นตอบโจทย์ เป็น รพ.ของประชาชน และไม่ละเลยภาระงาน

 

 

เมื่อวันที่ 12 กันยายน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงกรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข มีนโยบายยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรคว่า จากนโยบายดังกล่าว คาวว่าในปีต่อไปจะพัฒนาบัตรทอง หรือ 30 บาทพลัส ซึ่งชื่ออาจต้องดูรายละเอียด แต่จะเน้นการยกระดับที่สอดรับความต้องการประชาชน โดยไม่ละเลยภาระงาน โดย 2 เรื่องนี้เป็นนโยบายหลัก แต่จะมีนโยบายอื่นๆตามมา

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่มีการเตรียมพร้อมอย่างไร นพ.โอภาสกล่าวว่า เป็นหนึ่งในนโยบายของ นพ.ชลน่าน เป็นหน้าที่ของ สธ. สปสช. หน่วยงานหลักใหญ่เอามาบูรณาการทำงานร่วมกัน การแปลงภาคปฏิบัติ รมว.สธ.ก็สั่งเรื่อง Quick Win ก็จะมีออกมาให้ได้เห็น รอวันนี้รัฐบาลแถลงให้เสร็จสิ้นก่อน ซึ่งไม่อยากเรียกว่าใน 100 วัน แต่ให้เร็วที่สุดก็น่าจะดี 

รพ.ของประชาชน

ถามต่อว่าที่ผ่านมาเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็มักจะมีการเปลี่ยนชื่อโครงการบัตรทอง 30 บาท นพ.โอภาสกล่าวว่า เรื่องคำชื่อเป็นการสื่อประชาชน อย่าไปกังวล ประเด็นคือต้องยกระดับให้สอดรับความต้องการประชาชนมากที่สุด เป็น รพ.ของประชาชน  เดิมตอนที่เราดีไซน์ 30 บาท ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว เราก็มีประสบการณ์อะไรที่ดี ไม่ดี เวิร์กไม่เวิร์กก็ต้องทำให้สอดคล้องกัน และสังคมไทยเปลี่ยนไปเยอะ เดิมชนบทเข้าไม่ถึงบริการ แต่วันนี้ไม่ใช่ เรามี อสม. รพ.สต. ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศไทย หาจุดที่เข้าไม่ถึงบริการน้อยมากๆ แต่ปัญหาคนเข้าไม่ถึงคือคนในเมืองใหญ่และชุมชน โดยเฉพาะต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ ไม่เฉพาะ กทม.  ยังมีพัทยา เชียงใหม่ โคราช อุดรธานี เป็นต้น 30 บาทที่ดูแลรักษาทุกที่จะเป็นตัวตอบโจทย์ แต่มีประเด็นข้อดีและข้อด้อย ฝ่ายปฏิบัติก็ต้องทำให้สอดคล้องกัน 

ใช้เทคโนโลยี อีกเครื่องมือช่วยยกระดับบัตรทอง

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยการบริหารจัดการให้สะดวกและลดภาระงานหรือไม่ นพ.โอภาสกล่าวว่า แน่นอน โควิดที่เรารับมือได้ดี คือ เทเลเมดิซีน ต้องพัฒนาและเอาไปใช้ต่อ ของเดิมเทเลเมดิซีนใช้รักษาคนห่างไกล ป่าเขา ทะเล ทุกวันนี้ไม่ใช่ เหมาะกับคนทุกคน เพราะสิ่งที่เข้าถึงประชาชนมากที่สุดคือสมาร์ทโฟน ทุกคนมีเกือบหมด ต่อไปการเข้าถึงสาธารณสุขจะละเลยเรื่องดิจิทัลไม่ได้ สธ.ก็ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) วางระบบพื้นฐานเรื่องคลาวด์ จะเชื่อมต่อกับทุกเทคโนโลยีที่เข้ามา เชื่อมต่อทุกสถานบริการ และประชาชน เป็นจุดสำคัญที่จะต้องพัฒนาต่อไป 

อนาคตเชื่อมข้อมูล รพ.นอกสังกัด

ถามว่าต้องเชื่อมข้อมูล รพ.ข้ามสังกัดด้วยหรือไม่  นพ.โอภาสกล่าวว่า ถูกต้อง ให้ข้อมูลทั้งหมดเชื่อมโยงกัน สามารถมีข้อมูลสุขภาพไปรักษาในพื้นที่ บัตรประชาชนเป็นแค่ตัวอย่างเดียวในการแสดงตัวตน ก็สามารถไปรักษาทุกที่ได้ในประเทศไทย แต่ที่ตามมาคือ ระบบการจัดการ และระบบการจ่ายเงิน หัวใจสำคัญที่ต้องมี สปสช.มาพูดคุยกันและอื่นๆ เช่น กระทรวงอุดมศึกษาฯ เพราะระบบสถานบริการสาธารณสุข สธ.ครอบคลุมเพียง 70% ที่เหลือยังมีมหาวิทยาลัย สังกัดกระทรวงกลาโหม ภาคเอกชน รมว.สธ.ให้นโยบายว่า รพ.ทุกแห่งของไทยต้องเป็น รพ.ของประชาชน หมายถึงทั้งภาครัฐและเอกชนเป้นโจทย์ท้าทายที่ต้องดำเนินการต่อไป ส่วนเรื่องการจ่ายเงินแบบ Per Visit มีการหารือหลักการกับ สปสช.แล้ว แต่รายละเอียดต้องหารือกันอีกเยอะ เพราะยังมีรายละเอียดที่ต้องดูหลายมิติหลายประเด็น 

งานไหนเพิ่มภาระงาน ต้องหารือค่าตอบแทนเพิ่มเติม

ถามว่าบุคลากรกังวลเรื่องภาระงานเพิ่ม นพ.โอภาสกล่าวว่า บางเรื่องอาจเพิ่ม บางเรื่องอาจลด ตัวที่ลดจากเดิมที่เขียนกระดาษหมดก็ใช้ระบบดิจิทัล ที่ สธ.ทำหลายที่แล้วคือ พยาบาลดูคนไข้ต้องจดโน้ตของพยาบาลบันทึกอาการผู้ป่วย เราก็ใช้ระบบดิจิทัลที่มีฟอร์มทำให้สะดวกขึ้น พวกหัตถการที่จำเป็นอาจต้องเพิ่มขึ้นที่ส่งผลต่อชีวิตประชาชน เช่น การดูแลรักษาระดับสูง เช่น ฟอกไต สิ่งที่จำเป็นต้องเพิ่มก็เพิ่ม สิ่งที่ต้องลดก็ลด ส่วนค่าตอบแทนก็ต้องให้สอดคล้องกัน จะต้องไปคุยรายละเอียด 

 

ถามว่าเทเลเมดิซีนก็จะตอบโจทย์เรื่องลดภาระงานด้วยหรือไม่ นพ.โอภาสกล่าวว่า เทเลเมดิซีนมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งทำให้การรักษาดีขึ้นเร็วขึ้น และลดภาระงานไม่จำเป็น เช่น การลดบันทึกต่างๆ ประชาชนไม่ต้องเดินทางมาหาหมอ ลดความเสี่ยง ลดการเดินทาง ลดภาระเงิน ลดการรีเฟอร์คนไข้ หลายครั้งเราเห็นการส่งต่อผู้ป่วยจาก รพ.หนึ่งไป รพ.หนึ่ง ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ เป็นความเสี่ยงบุคลากร เพราะขับเร็วไปก็ไม่ดี ช้าไปก็ไม่ดี การมีเทเลเมดิซีนก็จะช่วยลดภาระงานลงได้ ส่วนยกระดับแล้วจะทำอย่างไรให้สมดุลก็ต้องดูหน้างาน ต้องพูดคุยลงรายละเอียด 

บอร์ดนโยบายสุขภาพดูภาพรวม ไม่ใช่แค่สธ.

ถามว่า National Health Board ที่จะมีการจัดตั้งจะมาช่วยพัฒนาระบบอย่างไร นพ.โอภาสกล่าวว่า คงเป็นนโยบายที่จะให้มีหน่วยงานที่ดูเรื่องครอบคลุมก้าวข้ามงาน สธ. เพราะงาน สธ.พูดเฉพาะสธ.ก็ครอบคลุม70-80% แต่ยังมีหน่วยงานนอกที่ทำเรื่องสาธารณสุขการแพทย์อีกเยอะ ทั้งมหาดไทย ศึกษา แรงงาน หากมีคณะกรรมการที่ดูแลครอบคลุมเชื่อมโยงนอกกระทรวง จะเป็นบทบาทคณะกรรมการชุดนี้ในการวางแนวนโยบาย แนววิธีการขับเคลื่อน เป็นต้น ส่วนเรื่องทำให้สิทธิต่างๆ เท่ากันนั้นก็จะต้องดูแนวนโยบายต่อไป 

 

ถามว่าต้องจัดทำเรื่องปฐมภูมิด้วยหรือไม่ นพ.โอภาสกล่าวว่า ก็เป็นนโยบยหลักของท่านรมว.สธ. แต่ส่วนตัวเชื่อว่าต้องนิยามการแพทย์ปฐมภูมิใหม่ เดิมเรานิยามเมื่อ 20-40 ปี กับ 2566 คงไม่เหมือนเดิมแล้ว หลักการคงคล้ายเดิม แต่เนื้อหารายละเอียดคงแตกต่างกัน ต้องทำความเข้าใจและจัดระบบบริการการแพทย์ปฐมภูมิแบบใหม่