ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ป.ป.ส. มท. สำนักงานอัยการสูงสุด ฯลฯ หารือกำหนดถือครอง “ยาบ้า” เหลือ 5 เม็ด เตรียมออกเป็นกฎกระทรวงฯ จากนี้ทำประชาพิจารณ์คาด 1-2 เดือน ก่อนเสนอครม.พิจารณาต่อไป พร้อมเผยเหตุผล และความผิดของคนถือครองมากกว่า 5 เม็ด เสนอครม.ขอขยายเวลา เหตุครบกรอบเวลา 2ปีการจัดทำกม.ลูก

 

จากกรณีมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และเสียงคัดค้านในเรื่องการออกกฎกระทรวงเรื่องการถือครองยาบ้า ว่า ต่ำกว่า 10 เม็ดให้ถือเป็นผู้เสพ คือผู้ป่วยที่ต้องบำบัดรักษานั้น  

 

สรุปมติเอกฉันท์กำหนดถือครอง 'ยาบ้า' 5 เม็ดเป็นผู้เสพ

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 3 พฤศจิกายน ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.)  นพ. กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวภายหลังประชุมหารือการกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษฯ ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)  สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม  โดยมีการหารือร่วมกว่า 3 ชั่วโมง

นพ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการพิจารณาร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. ซึ่งตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยยื่นร่างนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งครม.โดยท่านนายกฯ มีข้อสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขมาทบทวนร่วมกับกระทรวงอื่นๆ  และเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ท่านนายกฯ มีข้อบังคับเรื่องนโยบายความปลอดภัยยาเสพติดให้ดำเนินการต่อเนื่อง

“จากการประชุมครั้งนี้ทุกหน่วยงานได้มาประชุมครบถ้วน มีมติเป็นเอกฉันท์ โดยจะมีการนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพิจารณาเป็นกฎกระทรวง โดยในส่วนของการพิจารณาครั้งนี้ในส่วนของเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า กำหนดไม่เกิน 5 เม็ด ที่ให้สันนิษฐานว่า มีไว้ใช้ในการครอบครองเพื่อเสพ ขั้นตอนต่อไปดำเนินการตามระเบียบการออกกฎกระทรวงต่อไป คือ จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็น ประชาพิจารณ์ ก่อนจะเสนอครม. ซึ่งโดยทั่วไปจะต้องรับฟังหน่วยงานเกี่ยวข้อง น่าจะใช้เวลาอีกสักระยะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดมีขั้นตอนไม่สามารถบอกระยะเวลา หรือกำหนดได้” นพ.กิตติศักดิ์ กล่าว

เหตุผลกำหนดไม่เกิน 5 เม็ด

ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 5 เม็ด  นพ.กิตติศักดิ์กล่าวว่า เรารับฟังและใช้เหตุผลทางวิชาการทางการแพทย์ มีทางตัวแทนของ สธ. ทั้งกรมการแพทย์ กรมสุขภาพจิต สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาให้ข้อมูลรายละเอียดองค์ประกอบของยา ผลกระทบจากขนาดของยา มาเป็นองค์ประกอบเบื้องต้น และมีการรับฟังผลกระทบต่อมิติอื่นๆ เช่น ผู้บังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม มิติต่อสังคมที่เกิดจากปริมาณที่ต้องกำหนดจำนวนเม็ดเท่านั้นเท่านี้ จะเกิดผลกระทบต่อสังคม ชุมชน ระบบจัดการเรื่องกฎหมาย การบำบัด กระบวนการยุติธรรม และระบบราชทัณฑ์อย่างไร ซึ่งมีตัวแทนอย่างครบถ้วนในการพิจารณา ทั้งศาลยุติธรรม อัยการสูงสุด กฤษฎีกา สตช. ป.ป.ส. ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมประชาสมพันธ์ กระทรวง พม. และอุตสาหกรรม

กรมสุขภาพจิตเผยเหตุผลทางการแพทย์

ด้าน พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทธ์ ผอ.กองบริหารระบบบริการสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เหตุผลในทางการแพทย์ เรามีข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมและข้อมูลจากศูนย์พิษวิทยา รพ.รามาธิบดี พบว่า การใช้ตั้งแต่ปริมาณน้อยจนถึงเพิ่มมากขึ้น จะมีผลต่อสมองและระบบประสาทของผู้เสพแตกต่างกันไป โดยการในระดับที่มากกว่า 55 มิลลิกรัม จะทำให้เกิดอาการทางจิต ชนิดหลงผิดแบบหวาดระแวง การเสพจึงถึงจุดนี้จะเข้าเกณฑ์ผู้ป่วย SMI-V ผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการก่อความรุนแรง มีความเสี่ยงสูงต่อทำร้ายตนเองและผู้อื่น ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในสังคม การอนุญาตให้ใช้ปริมาณที่สูงมากต่อครั้งต่อวัน เกินกว่าปริมาณที่ทำให้เกิดฤทธิ์ต่อสมองในแบบที่หลงผิดจะเพิ่มผู้ป่วย SMI-V และเพิ่มเสี่ยงทำให้สังคมไม่ปลอดภัย

ความผิดของผู้ถือครองมากกว่า 5 เม็ด

ถามย้ำว่าถ้าน้อยกว่า 5 เม็ดจะถือเป็นผู้เสพ ถ้ามากกว่านั้นจะมีความผิดอย่างไร  พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผู้บังคับบัญชาตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า  โดยหลักกฎหมายจะแบ่งความผิดเป็น 2 ประเภท คือ 1.ผิดเรื่องของเสพ จะเสพโดยตรงหรือครอบครองเพื่อเสพ และ 2.ความผิดร้ายแรง ได้แก่ ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย และครอบครอง มีโทษเท่ากัน ดังนั้น ไม่ว่าครอบครองหรือจำหน่ายฐานโทษเท่ากัน ดังนั้น เมื่อเราแยกคนตรงนี้ก็เป้นวิธีการในการปราบปรามผู้กระทำผิดให้รับโทษตรงตามข้อหาและความหนักเบา ซึ่งหากมีไม่เกิน 5 เม็ด จะสันนิษฐานว่าเป็นผู้เสพ แต่ถ้าในการสืบสวนมีพฤติกรรมในการลักลอบจำหน่าย แม้จะครอบครอง 1 เม็ด ก็จะดำเนินคดีข้อหาจำหน่าย แต่มากกว่า 6 เม็ดขึ้นไปก็เป็นความผิดครอบครองยาเสพติดฐานหนึ่งแล้ว จะมีพฤติกรรมการค้าหรือไม่ ก็ต้องดูความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดข้อหาไหน

 

ถามว่าหากพิสูจน์ว่าครอบครองน้อยกว่า 5 เม็ดและเป็นผู้เสพ ก็ไม่ต้องไม่รับโทษใช่หรือไม่  พล.ต.ท.คีรีศักดิ์กล่าวว่า ตัวกฎหมายต้องการเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย และนำไปบำบัดรักษา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะจับไปแล้วจะไม่บำบัดรักษาก็จะมีกระบวนการรักษาด้วย

 

ถามว่าจะดูอย่างไรว่าครอบครองต่ำกว่า 5 เม็ดเพื่อเสพหรือมีพฤติกรรมขายด้วยในทางกฎหมาย  พล.ต.ท.คีรีศักดิ์กล่าวว่า สมัยก่อนยังไม่มีการกำหนดตัวนี้ ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดความยากลำบาก ในการดำเนินคดีกับผู้เสพผู้ใช้ต่างๆ เหล่านี้ เพราะเราไม่สามารถที่จะเอากฎหมายข้อไหนมาบังคับคดีกับเขาได้ เมื่อครอบครองยาบ้าแม้กระทั่ง 50 เม็ด แต่บอกเอาไว้เสพนานๆ หลายๆ วัน ตำรวจทำอะไรไม่ได้ก็ต้องส่งไปบำบัดรักษา

เมื่อถามว่ากรณีมีไม่เกิน 5 เม็ดเป็นผู้เสพ จะต้องเข้าบำบัดรักษาทันทีหรือตามสมัครใจ พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ กล่าวว่า ต้องสมัครใจด้วย เราก็ส่งบำบัดรักษา ถ้าไม่สมัครใจก็สามารถนำไปดำเนินคดีได้ในข้อหาครอบครองเพื่อเสพ คือ เสพมีโทษอยู่จำคุกไม่เกิน 1 ปี แต่ศาลจะลงโทษหรือไม่ลงโทษหนักแค่ไหนก็ได้ไม่เกิน 1 ปี ก็อาจส่งไปบำบัดได้ แต่ถ้าเป็นการครอบครอง ผลิตนำเข้าส่งออกหรือจำหน่ายมีโทษตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปีก็ต้องรับโทษ

 

นพ.กิตติศักดิ์กล่าวว่า ตัว 5 เม็ดเป็นตัวไว้ให้โอกาสกับผู้ที่ครอบครอง กฎหมายมีเจตนารมณ์เขียนไว้ว่า ให้สันนิษฐานไว้ใช้ในการครอบครองเพื่อเสพ การกำหนดตรงนี้ทำให้คนทำงานทำงานง่าย แยกแยะเบื้องต้นเป็นเสพ ถ้ามากกว่า 5 เม็ดไม่ใช่เสพ อย่างไรก็ตาม ถ้าการสืบสวนำพฤติกรรมหรือการต่อเนื่องในการดำเนินการทางกระบวนการ ทราบว่ามีการจำหน่ายจ่ายแจก แม้ต่ำกว่า 5 เม็ดก็ผิดกฎหมาย เป็นผู้ค้าผู้ครอบครองผิดกฎหมาย ไม่ได้เป็นผู้เสพ

 

ถามย้ำว่าทำไมถึงกำหนดมากกว่า 1 เม็ด ไม่กำหนดแค่เม็ดเดียว พล.ต.ท.คีรีศักดิ์กล่าวว่า ในที่ประชุมได้ข้อมูลความรู้หลายเรื่อง ทั้งเรื่องวฤทธิ์ยา ปริมาณยาที่ส่งผลต่อสุขภาพและอาการทางจิต มีการหารือกันนานกว่า 2 ชั่วโมง ได้ข้อสรุปแล้วว่า จำนวนกี่เม็ดมันจะส่งผลในหลายๆ มิติ ในแง่สาธารณสุข การบังคับใช้กฎหมาย และผลกระทบเกิดกับสังคม มาประกอบกัน จึงกำหนด 5 เม็ดเป็นปริมาณที่เหมาะสม

เสนอครม.ขอขยายเวลา เหตุครบกรอบเวลา 2ปีการจัดทำกม.ลูก

รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของการประชาพิจารณ์นั้นจะดำเนินการตามขั้นตอน มีผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน ก่อนจะนำมาประมวลผลอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎกระทรวงดังกล่าว เป็นกฎหมายลูกที่ออกตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ซึ่งกำหนดให้กระทรวงสาธารณสุข มาออกกฎหมายลูกภายใน 2 ปี แต่ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถออกได้ และกำลังจะครบระยะเวลา 2 ปี ตามที่กำหนด ในวันที่ 8 ธ.ค. 2566

ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขจะต้องดำเดินการต่อจากนี้คือ เสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาขยายเวลาในการจัดทำกฎหมายลูกดังกล่าวออกไป ซึ่งยังไม่แน่ใจว่ากฎหมายกำหนดให้ขยายเวลาได้นานไหน ทั้งนี้ หากไม่ขอขยายเวลา และครบตามที่กำหนดแล้วกฎหมายลูกยังออกไม่ได้ แล้วเราไม่ขอขยายเวลา ก็จะทำให้ร่างกฎหมายลูกกำหนดจำนวนยาบ้า 5 เม็ดสันนิษฐานว่าเป็นผู้เสพ ต้องกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ทั้งหมด

นอกจากนี้ ที่ประชุมดังกล่าวยังมีการหารือกันต่อถึงยาเสพติดให้โทษตัวอื่นๆ ด้วย ว่าจะกำหนดปริมาณที่จะสันนิษฐานมีไว้ในการครอบครองเพื่อเสพจำนวนเท่าใดด้วย ซึ่งจะออกเป็นร่างกฎกระทรวงเดียวกันและเสนอ ครม.พร้อมกัน