ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คณะแพทย์ จุฬาฯ วิจัยสารก่อมะเร็งฝุ่น PM 2.5 ใน กทม. พบ "นิกเกิล-อาร์เซนิก" มากสุด แต่ละเขตเสี่ยงเกิดมะเร็งต่างกัน  ชี้ กลุ่มเด็กเล็ก 0-6 ขวบพื้นที่ “บางนา” เสี่ยงมะเร็งถึง 1 ต่อ 86,206 คน

 

ศึกษาวิจัยมะเร็งจากฝุ่นPM 2.5 ร่วมกับองค์ประกอบอื่นๆ

ในเวทีเสวนา "นโยบายและมาตรการจัดการมลพิษทางอาการที่ประเทศต้องการ" หัวข้อ "ระบบสุขภาพไทยพร้อมเผชิญโรค และผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ" เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา  พญ.ภัทราวลัย สิรินารา ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า อัตราตายจากมลพิษ พบว่า มาจากควันบุหรี่ค่อนข้างสูง โดยอัตราตายจากโรคมะเร็งปอดในปี 2560 พบว่าา ภาคเหนือตอนบนมีอัตราสูงสุด คือ 34.08 ต่อแสนประชากร ตามด้วย กทม. 32.88 ต่อแสนประชากร ซึ่งแนวโน้ม 20 ปี ตั้งแต่ปี 2540 - 2560 พบว่า แนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยจังหวัดที่มีอัตราตายสูงสุด คือ ลำพูน 43.11 ต่อแสนประชากร ลำปาง 40.93 ต่อแสนประชากร พะเยา 38.03 ต่อแสนประชากร เชียงใหม่ 35.27 ต่อแสนประชากร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภาค อย่างลำพูนก็สูงกว่า 1.5 เท่าของค่าเฉลี่ย

ทั้งนี้ เราให้ความสนใจเรื่องมะเร็งจากฝุ่น PM 2.5 ซึ่งไม่ได้ดูแค่เฉพาะตัวฝุ่น แต่ยังรวมไปถึงองค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น PM 2.5 ด้วย จึงได้ทำการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพจากสารก่อมะเร็งในฝุ่น PM 2.5 ของประชาชนที่อาศัยใน กทม.

แต่ละพื้นที่พบสารโลหะหนักในฝุ่น PM2.5แตกต่างกัน

"เรารวบรวมมาทุกธาตุโลหะหนักที่สามารถก่อมะเร็งได้ใน PM 2.5 ทั้งนี้ เดิมเรามีการกำหนดค่ามาตรฐานฝุ่น PM 2.5 ไว้ที่ 50 มคก./ลบ.ม. แต่ มิ.ย. 2566 ไทยประกาศลดเหลือ 37.5 มคก./ลบ.ม. จากการดูข้อมูลพบว่า กทม. จมฝุ่นประมาณ 6 เดือนต่อปี สำหรับสัดส่วนธาตุโลหะหนักในฝุ่น PM 2.5 จากการศึกษาของคณะวิจัย พบว่า เป็น นิกเกิลและอาร์เซนิกมากที่สุด ส่วนปริมณฑลจะเป็นตะกั่วเป็นหลัก ซึ่งการที่บ่งบอกธาตุโลหะหนัก จะทำให้เชื่อมไปที่แหล่งกำเนิด เพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษได้ต่อไป" พญ.ภัทราวลัยกล่าว

กลุ่มเด็กเล็ก 0-6 ขวบพื้นที่บางนาเสี่ยงมะเร็งถึง 1 ต่อ 86,206 คน

พญ.ภัทราวลัยกล่าวว่า สำหรับการประเมินความเสี่ยงในการก่อให้เกิดโรคมะเร็งตลอดช่วงชีวิต (Excess Lifetime Cancer Risk : ELCR) จากฝุ่น PM 2.5 ผู้วิจัยพบการศึกษาสำคัญว่า จังหวัดเดียวกัน ค่าความเสี่ยงการเกิดมะเร็งจากฝุ่น PM 2.5 ในแต่ละเขตก็ไม่เท่ากัน อย่างเขตบางนาที่อุตสาหกรรมเยอะ ส่วนอารีย์เป็นที่อยู่อาศัย จะเห็นว่าบางนาความเสี่ยงเกิดมะเร็งผู้ใหญ่อายุ 18-70 ปี อยู่ที่ 1 ต่อ 43,478 คน ส่วนย่านอารีย์พบ 1 ต่อ 72,992 คน ส่วนกลุ่มเด็กเลกอายุ 0-6 ขวบ ในเขตบางนาเราพบเสี่ยงมะเร็งถึง 1 ต่อ 86,206 คน อารีย์อยู่ที่ 1 ต่อ 147,058 คน ซึ่งมีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าอายุ 6-12 ขวบและวัยรุ่น 12-18 ปี

 

"ทั้งนี้ แต่ละประเทศมีการใช้ค่ามาตรฐานฝุ่น PM 2.5 ไม่เท่ากัน อย่างไทยอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. สหรัฐฯ อยู่ที่ 35 มคก./ลบ.ม. ซึ่งจากการศึกษาโดยใช้โมเดลจำลองโอกาสลดความเสี่ยงมะเร็งจากฝุ่น หากเราปรับเกณฑ์ลดลงตามองค์การอนามัยโลกเหลือ 25 มคก./ลบ.ม. จะสามารถลดเสี่ยงการเกิดมะเร็งจากฝุ่นได้ 27.22% และหากเหลือ 15 มคก./ลบ.ม.ตามที่องค์กรอนามัยโลกประกาศปรับเกณฑ์ลงใหม่ จะสามารถเซฟประชากรให้ปลอดภัยจากมะเร็งที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 ลดลงถึง 67%" พญ.ภัทราวลัยกล่าว 

ด้าน ผศ.พญ.วรวรรณ ศิริชนะ หน่วยโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มลพิษทางอากาศเป็นภัยเงียบ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ และเสียชีวิต มีความสัมพันธ์กับการสัมผัสรับฝุ่น PM 2.5 เช่น หากสูดเข้าไปก็คือ ปอด หลอดลม เส้นเลือด นำไปสู่หัวใจ สมอง อวัยวะต่างๆ ผลข้างเคียงที่เห็นชัดเวลาพูดถึง คือ ระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง และมะเร็ง ทั้งนี้ จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกพบว่า ทุกปีทั่วโลกมีคน 7 ล้านคนตายก่อนวัยอันควร จากมลพิษทางอากาศในบรรยากาศทั่วไปและในครัวเรือน โดยพบว่ามาจากโรคปอดอักเสบ 21% , โรคหลอดเลือดสมอง 20% โรคหัวใจและหลอดเลือด 34%  , โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง 19%  และโรคมะเร็งปอด 7%

เผยศึกษาผลกระทบฝุ่น PM 2.5 ต่อคนที่อาศัยใน กทม.

ผศ.พญ.วรวรรณกล่าวว่า สำหรับการศึกษาผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อคนที่อาศัยใน กทม. พบว่าการเพิ่มขึ้นของฝุ่น PM 2.5 ทุกๆ 10 มคก./ลบ.ม. จะเพิ่มอัตราการเสียชีวิต 0.4% ในวันแรกที่มีการสัมผัส PM 2.5 คือยิ่งสัมผัสไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น , หากได้รับต่อเนื่อง 7 วันในกลุ่มผู้สูงอายุ เพิ่ม 1.57% โรคระบบการหายใจเพิ่มขึ้น 1.2% และโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 0.5% ขณะที่การเข้ารักษาผู้ป่วยนอก เพิ่มขึ้นในส่วนของโรคระบบการหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคภูมิแพ้ และโรคตา นอกจากนี้ ผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ยังมีต้นทุนค่าใช้จ่ายการรักษาที่ไม่เห็นในระบบ ไม่เคยถูกนำมาคิดการประเมินต้นทุนในการรักษาพยาบาล เพราะตามปกติกลุ่มเสี่ยงอาการกำเริบจะมา รพ. แต่กลุ่มที่เป็น Hidden Cost คือกลุ่มคนทำงานที่มีอาการก็รักษาตามอาการ โดยเราพบว่าช่วงที่มีมลพิษทางอากาศสูง นอกจากเจ็บคอ ไอ เสมหะ คันตาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลุมอาการเล็กน้อยดูแลตนเอง ยังพบภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 30.6% วิตกกังวลเพิ่มขึ้น 28.6% และความเครียดเพิ่มขึ้น 26.5% เพราะคนไม่อยากออกไปข้างนอก หยุดงาน ทำงานได้น้อยลง

 

"ผลกระทบจากปัญหามลพิษทางอากาศ ในแง่สุขภาพเพิ่มทั้งโรค เพิ่มการนอน รพ. เพิ่มอัตราการตาย ลดคุณภาพชีวิต ทำงานได้น้อยลง และแง่เศรษฐกิจ คือ เพิ่มรายจ่าย ลดรายได้ มองว่า เรื่องสุขภาพเป็นปลายทางที่ต้องเตรียมการป้องกัน แต่การจัดการที่ต้นทางเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วย เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์เพื่อทุกคนเพื่ออนาคต" ผศ.พญ.วรวรรณกล่าว