ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

ศ.นพ.ประกิต  วาทีสาธกกิจ  เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยข้อมูลที่แสดงว่า  การขึ้นภาษีบุหรี่ไม่ได้ทำร้ายผู้สูบบุหรี่ที่เป็นคนจนอย่างที่หลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้การวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของคนไทยก่อนและหลังการขึ้นภาษีบุหรี่ซิกาแรตในปี พ.ศ.2548 และ 2549  ที่มีการขึ้นภาษีบุหรี่ซิกาแรตจากร้อยละ 75  เป็นร้อยละ 79  ซึ่งมีผลทำให้ราคาบุหรี่ซิกาแรตขายปลีกเพิ่มขึ้นซองละ 10 บาท  พบว่าทำให้ผู้สูบุบหรี่ร้อยละ 8 เลิกสูบ  โดยผู้สูบบุหรี่ที่มีรายได้สูงมีสัดส่วนการเลิกสูบและเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ยี่ห้อที่ถูกกว่า  มากกว่ากลุ่มผู้สูบบุหรี่ที่มีรายได้น้อย  ในขณะที่ผู้สูบบุหรี่ที่มีรายได้น้อยเปลี่ยนพฤติกรรมไปซื้อบุหรี่ที่แบ่งขายเป็นมวน ๆ และเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ยาเส้นมวนเอง  และส่วนหนึ่งเลิกสูบ  โดยในภาพรวมคนที่มีรายได้น้อยไม่ได้มีการใช้จ่ายในการซื้อบุหรี่เพิ่มขึ้นเมื่อมีการขึ้นภาษีบุหรี่

ศ.นพ.ประกิต  กล่าวว่า  ฝ่ายที่กล่าวว่าการที่ขึ้นภาษีบุหรี่ทำร้ายคนจนตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า  คนจนที่สูบบุหรี่ไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบเลยเวลาบุหรี่มีราคาแพงขึ้น  ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง  กลุ่มที่ไม่ค่อยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่เมื่อมีการขึ้นภาษี  คือกลุ่มผู้สูบบุหรี่ที่มีรายได้ปานกลางและสูง  เนื่องจากค่าใช้จ่ายซื้อบุหรี่ยังเป็นสัดส่วนที่น้อย  แม้หลังการขึ้นภาษี คือส่วนใหญ่ยังคงสูบในจำนวนเท่าเดิมและยี่ห้อเดิม  ซึ่งผู้สูบบุหรี่กลุ่มรายได้ปานกลางและสูงนี้เอง  ที่ทำให้เวลาขึ้นภาษีรัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น  การวิจารณ์ว่าการขึ้นภาษีบุหรี่เป็นการทำร้ายคนจนจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อรัฐบาล  อนึ่งข้อมูลในปี พ.ศ. 2552 พบว่า ความพยายามลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ของรัฐบาลไทยที่มีการขึ้นภาษีบุหรี่สิบครั้งเป็นมาตรการหลักในช่วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา  ผู้สูบบุหรี่ที่อยู่ในกลุ่มประชากรที่จนที่สุด  มีอัตราการเลิกสูบร้อยละ 32.8 นับเป็นอันดับสองรองจากอัตราการเลิกสูบ ร้อยละ 38.6  ในกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงสุด  ขณะที่กลุ่มประชากรที่มีรายได้สูง  มีอัตราเลิกร้อยละ 25.6  รายได้ปานกลางเลิกสูบร้อยละ 24.1  และรายได้กลุ่มเกือบจนเลิกสูบร้อยละ 26.3 รัฐบาลจึงควรใช้นโยบายการขึ้นภาษีเพื่อการควบคุมยาสูบต่อไป  ซึ่งผลสำคัญที่สุดของการขึ้นภาษี  คือการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชนตามที่ธนาคารโลกแนะนำด้วย