ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปรับค่าบริการทางการแพทย์ ประมาณร้อยละ 10-15 จากราคาเดิมว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะ สปสช.ได้ทำหน้าที่จัดสรรให้หน่วยบริการตามหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง และประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นได้อย่างเท่าเทียมกัน ในแต่ละปีรัฐบาลได้จัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวในวงเงินอัตราก้าวหน้าให้ สปสช. โดยการคำนวณงบเหมาจ่ายรายหัวใช้หลักการวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขคำนวณจากข้อมูลต้นทุนของสถานพยาบาล เพื่อจัดสรรให้หน่วยบริการตามอัตราประชากรที่มาลงทะเบียนกับหน่วยบริการทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม สปสช.ได้กำหนดอัตราเพดานงบเหมาจ่ายรายหัวในอัตราการจ่ายแบบปลายปิดตามแนวทางงบเหมาจ่ายรายหัว โดยการจัดสรรให้ผู้ป่วยนอกใช้ระบบเหมาจ่ายรายหัวโดยปรับตามโครงสร้างอายุประชากร ขณะที่การจ่ายแบบผู้ป่วยในนั้น ใช้ระบบเหมาจ่ายตามระบบดีอาร์จี (DRGs) หรือการวินิจฉัยตามกลุ่มโรค

นพ.วินัยกล่าวว่า กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการตามต้นทุนบริการที่คำนวณมาจากการใช้ข้อมูลค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการที่เกิดขึ้นจริง ภายใต้เงื่อนไขการไม่รวมต้นทุนด้านค่าพัฒนาการบริการและไม่รวมค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายรัฐบาลตั้งแต่ปี 2554 ดังนั้น ภาระเงินกองทุนจึงขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้บริการและต้นทุนจริงที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่น เช่น อัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลเป็นปัจจัยสำคัญต่อค่าใช้จ่ายครัวเรือน และอาจจะมีผลต่อราคาสินค้าอื่น โดยอาจจะมีผลทางอ้อมต่อการขึ้นค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้านสุขภาพ

"จากการที่ สธ.มีมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยบริการในสังกัดทุกแห่ง ทั้งการต่อรองราคายา การกระจายและจัดบุคลากรให้เหมาะสม รวมทั้งการจัดระบบการใช้ทรัพยากรร่วมกันในระดับจังหวัดและระดับเขต ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนให้บริการ ซึ่งจะยิ่งเป็นการให้บริการได้ตามมาตรฐาน และการที่ประชาชนไทยทุกคนได้รับหลักประกันสุขภาพภาครัฐไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การเพิ่มอัตราค่าบริการครั้งนี้จึงไม่ส่งผล กระทบต่อประชาชน" นพ.วินัยกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556