ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นายแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริการายงาน 9 โรคใหม่เกิดจากการสูบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น ทั้งมะเร็ง มะเร็งลำไส้ วัณโรค เบาหวาน จอตาเสื่อม ฯลฯ ด้าน "หมอประกิต" ชี้ข้อสังเกตมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้เป็นโรคที่ชายไทยป่วยมาก คาดเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ในอดีตที่สูงถึง 60%

ศ.นพ.ประกิต  วาทีสาธกกิจ  เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  เปิดเผยรายงานของนายแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริกา  พ.ศ.2557  ที่รับรอง 9 โรคใหม่ว่า มีการสูบบุหรี่หรือการได้รับควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบเป็นสาเหตุ อาทิ มะเร็งตับ  มะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคอื่น ๆ อีก 7 โรค ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ที่นายแพทย์ใหญ่กระทรวงสาธารณสุขประกาศว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดและโรคเรื้อรังอื่น ๆ เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2507 และหลังจากนั้นก็มีรายงานถึงโรคต่าง ๆ ที่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดจากการสูบบุหรี่มาเป็นระยะ ๆ โดยรายงานฉบับล่าสุดระบุโรคใหม่ ๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนว่าเกิดจากการสูบบุหรี่  ได้แก่ มะเร็งตับและมะเร็งลำไส้    มีความเสี่ยงที่จะเกิดวัณโรคเพิ่มขึ้น  มีโอกาสเสียชีวิตจากวัณโรคเพิ่มขึ้น  และทำให้วัณโรคกลับเป็นใหม่มากขึ้น  การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเบาหวานในผู้ใหญ่ 30-40%   เทียบกับในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่  โรคอื่น ๆ ก็มีจอตาเสื่อมที่สัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น  เพดานปากแหว่งตั้งแต่เกิดในมารดาที่สูบบุหรี่ การตั้งครรภ์นอกมดลูก  โรคข้อรูมาตอร์ย และภาวะภูมิต้านทานร่างกายลดลง  และโรคเส้นเลือดสมองตีบหรือแตกจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง ทำให้โดยรวมแล้วการสูบบุหรี่ทำให้เป็นมะเร็งถึง 12 อวัยวะและโรคอื่น ๆ อีก 17 โรคในขณะที่การได้รับควันบุหรี่ในคนที่ไม่สูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคได้สิบโรค

ศ.นพ.ประกิต  กล่าวว่ารายงานของนายแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริกามีความสำคัญโดยการเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกในการยืนยันถึงโรคแต่ละชนิดที่เกิดจากการสูบบุหรี่  หรือการได้รับควันบุหรี่ในคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่  รายงานฉบับปัจจุบันมีความสำคัญมากต่อประเทศไทยที่ว่ามะเร็งตับ  และมะเร็งลำไส้  เป็นมะเร็งลำดับที่หนึ่ง  และที่สามในชายไทย  ในขณะที่วัณโรค และเบาหวานเป็นโรคที่คนไทยเป็นกันมากขึ้น  สภาพการณ์ของโรคที่เป็นอยู่  เป็นผลมาจากการใช้ยาสูบที่มีอัตราสูงมากของชายไทยในอดีตที่สูงถึง 60% เมื่อยี่สิบปีก่อน และแม้ปัจจุบันอัตราก็ยังสูงที่ 40% งานควบคุมยาสูบของประเทศไทยจึงยังต้องการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ภายใต้การนำของรัฐบาลและทุกภาคส่วนอย่างจริงจังต่อไป