ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ไทยรัฐ - กระทรวงสาธารณสุขตั้งทีมดูแลผู้ประสบภาวะวิกฤติระดับอำเภอ 853 ทีม ดูแลจิตใจผู้ประสบปัญหาที่เกิดจากเหตุชุมนุมทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และจากภัยพิบัติ ป้องกันปัญหาฆ่าตัวตาย...

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวชาวนา 2 ราย ที่จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดร้อยเอ็ด ผูกคอตายจากความเครียด ระหว่างที่รอเงินจำนำข้าวเปลือก และต้องเป็นหนี้สินนอกระบบนั้น และยังพบข้อมูลกรมสุขภาพจิต ปี 2550 - 2553 พบคนไทยฆ่าตัวตายเฉลี่ยปีละ 5.9 คน ต่อประชากรหนึ่งแสนคน ปี 2554 เพิ่มเป็น 6.03 คน ต่อประชากรหนึ่งแสนคน และปี 2555 เพิ่มสูงถึง 6.2 คน ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือปีละ 3,700 - 3,900 ราย และพบว่ามีผู้ป่วยซึมเศร้าร้อยละ 2.3-2.7คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านคน เป็นหญิงมากกว่าชาย 2 เท่าตัว แต่มีอัตราการเข้าถึงบริการน้อย เพียงร้อยละ 29 ของผู้ป่วย เพราะประชาชนมีอคติ ไม่อยากพบจิตแพทย์ กลัวคนรอบข้างว่าเป็นบ้า ประกอบกับช่วงนี้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์การชุมนุม ส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และอาจส่งผลกระทบถึงครอบครัว ทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย เสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และการฆ่าตัวตายได้

กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิต ได้ตั้งทีมช่วยเหลือ เยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤติ (MCATT) ในระดับอำเภอ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 853 ทีม เป็นทีมสหวิชาชีพ ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาลจิตเวช เภสัชกร นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการสาธารณสุข ผู้ที่รับผิดชอบงานด้านสุขภาพจิต และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือด้านจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤติ ทั้งที่เกิดจากเหตุชุมนุม และภัยพิบัติรูปแบบต่างๆ อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ทีมดังกล่าวจะทำงานร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) นอกจากนี้ ในปี 2557 กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาบริการการค้นหา และคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยซึมเศร้าเป็นร้อยละ 31

"ผู้มีปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย มักจะถูกมองว่าเป็นคนโง่ อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง เป็นการเรียกร้องความสนใจ และมักจะถูกเยาะเย้ย ซ้ำเติม ทั้งที่จริงแล้วปัญหาการฆ่าตัวตาย สามารถป้องกันได้โดยครอบครัว และคนใกล้ชิดต้องเอาใจใส่ สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป รับฟังปัญหาอย่างไม่ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ โดยปกติผู้ที่จะฆ่าตัวตายมักจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เช่น การเขียนจดหมายลาตาย การตัดพ้อ หรือทำร้ายตัวเอง แต่ก็มีบางรายที่ก่อนฆ่าตัวตาย ไม่ส่งสัญญาณอะไรเลย"

นอกจากนี้ คำแนะนำประชาชน หากรู้สึกไม่สบายใจ วิตกกังวล นอนไม่หลับ ไม่อยากพูดคุยกับใคร ให้พยายามเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หัดมองโลกในแง่ดีให้เป็นนิสัย พยายามออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง และสมองปลอดโปร่ง การออกกำลังกายจะกระตุ้นการหลั่งสารแห่งความสุข ที่ทำได้ง่าย นอกจากนี้ ขอให้พูดคุยระบายความรู้สึกกับคนใกล้ชิด ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา เพราะปัญหาทุกเรื่องมีวิธีแก้ไขหาทางออกได้ หรือไปพบแพทย์ พยาบาล ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรปรึกษาทางสายด่วน 1323 จะมีพยาบาลจิตเวช และนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา: http://www.thairath.co.th