ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อธิบดีกรมการแพทย์ชี้โรคเกาต์เป็นที่พบบ่อยสุดในโรคข้ออักเสบเฉียบพลัน  สาเหตุสำคัญจากกรดยูริกพุ่งสูง  แนะเลี่ยงการดื่มเหล้า  เบียร์  และอาหารประเภทเครื่องในสัตว์  สัตว์ปีก  รวมทั้งอาหารทะเลปริมาณมากเป็นประจำ

นพ.สุพรรณ  ศรีธรรมมา  อธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยว่า  โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบเฉียบพลันที่พบบ่อยที่สุด เป็นผลจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายๆ  ปีทำให้เกิดการตกผลึกของเกลือยูเรตในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย  ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย โดยเฉพาะผู้ที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป สำหรับในเพศหญิงมักเริ่มต้นอาการในวัยหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว กรดยูริกพบมากในเนื้อสัตว์  เครื่องในสัตว์  ถั่วต่างๆ  และยอดผักอ่อนๆ รวมทั้งเกิดจากการสลายตัวของเซลล์ภายในร่างกาย กรดยูริกจะถูกขับออกทางปัสสาวะ หากร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไปหรือไตขับยูริกได้น้อยลง เนื่องจากไตเสื่อมลง กรดยูริกก็จะตกผลึกที่บริเวณผนังหลอดเลือด ไตและอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณข้อ ทำให้เกิดอาการปวดข้อและโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้  เช่น ข้อพิการ นิ่วในไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ กระดูกพรุน  เป็นต้น  สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงหรือมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาตได้มากยิ่งขึ้น 

อาการที่พบบ่อย คือ ปวดข้อรุนแรง เฉียบพลัน ถ้าเป็นการปวดครั้งแรกมักจะปวดข้อเดียวและปวดไม่กี่วัน  ข้อที่ปวดบ่อย  คือ นิ้วหัวแม่เท้าข้างใดข้างหนึ่ง  บางรายอาจปวดที่ข้อเข่า  ซึ่งข้อจะบวมและเจ็บมากจนทนไม่ไหว ผิวหนังบริเวณที่ปวดจะตึง ร้อนและแดง  เมื่ออาการเริ่มทุเลา ผิวหนังบริเวณนั้นก็จะลอกและคัน  มักจะเริ่มปวดตอนกลางคืนหรือมีอาการกำเริบหลังจากทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง  นอกจากนี้อาจมีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น อ่อนเพลียหรือเบื่ออาหารร่วมด้วย

สำหรับแนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคเกาต์ที่สำคัญ  คือ  รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการผิดปกติ หรือมีผลข้างเคียงจากการรับประทานยาให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที  ไม่ควรหยุดยา ปรับขนาดยา หรือซื้อยารับประทานเอง  เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาแล้ว ยังอาจจะทำให้ควบคุมโรคได้ไม่ดี  เข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด  เพื่อดูระดับกรดยูริกและการทำงานของตับและไตเป็นระยะๆ  ควรรับประทานอาหารให้  ครบ  5  หมู่   รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 3,000 มิลลิลิตร  หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์  ลดการรับประทานอาหารประเภทเครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก อาหารทะเล เป็นต้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่อข้อที่รุนแรง  หลีกเลี่ยงการบีบ นวด ถู บริเวณข้อ เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้ข้ออักเสบกำเริบได้ ดังนั้น การให้ความร่วมมือในการรักษาและรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้  และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น