ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

บอร์ด สปสช.เห็นชอบขยายสิทธิประโยชน์ด้านยา 4 รายการ ช่วยผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ไวรัสตับอักเสบซีและมะเร็งเม็ดเลือดขาวเข้าถึงยาและการรักษาเพิ่มขึ้น หลัง “อนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติ” บรรจุบัญชียาหลักแห่งชาติ ขณะที่ผลศึกษา “ไฮเทป” ชี้ผลใช้ยาคุ้มค่าประหยัดงบประมาณมากกว่ารักษาประคับประคอง แถมช่วยยืดอายุเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย

ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ -วันที่ 5 สิงหาคม 2557 ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยมี นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ เป็นประธานการประชุม ซึ่งมีวาระการพิจารณาการขยายสิทธิประโยชน์การเข้ายา 4รายการ ได้แก่ ยาทราสทูซูแมบ (Trastuzumab), ยาเพคอินเตอร์เฟอรอน (Peginterferon), ยานิโลทินิบ (Nilotinib) และยาดาสาทินิบ (Dasatinib) ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมการรักษาและให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาที่จำเป็นเพิ่มขึ้น

นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สปสช.วันนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการประกาศขยายสิทธิประโยชน์ด้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ซึ่งการขยายสิทธิประโยชน์ด้านยานี้เป็นไปตามการพิจารณาของทางคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติที่ได้เห็นชอบและบรรจุเป็นรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2557 ซึ่งได้เห็นชอบเพิ่มเติมในยา 4 รายการ ดังนี้ 

ยาทราสทูซูแมบ (Trastuzumab) เป็นยารักษามะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นการรักษาเสริมร่วมกับยาแพคลิแท๊กเซิล(Palitaxel)  จากการศึกษาประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) พบว่า แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นจากที่ใช้ยา แพคลิแท๊กเซิลอย่างเดียว จาก 966,306 บาท เป็น1,510,886 บาท โดยมีส่วนต่าง 544,580 บาท แต่มีความคุ้มค่าเพราะช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยจาก 9.11 ปี เป็น 14.12 ปี โดยในปี 2558ตั้งเป้าหมายการเข้าถึงของผู้ป่วย 175 ราย งบประมาณ 80.90 ล้านบาท และในปี 2559 ตั้งเป้าหมายการเข้าถึงผู้ป่วย 350 ราย งบประมาณ 162.80 ล้านบาท

ยาเพคอินเตอร์เฟอรอน(Peginterferon) เป็นการเพิ่มเติมข้อบ่งใช้สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีร่วมด้วย และผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี สายพันธุ์ 1 หรือ 6 ซึ่งจากการศึกษาประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยHITAP พบว่า ในกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีร่วมด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาแบบประคับประคองจะสามารถประหยัดงบประมาณภายใน 5 ปี ได้ถึง 317 ล้านบาท โดยประมาณ ในขณะกลุ่มผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี สายพันธุ์ 1 หรือ 6 เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาแบบประคับประคอง จะสามารถประหยัดงบประมาณภายใน 5 ปี ได้ถึง 678 ล้านบาท โดยประมาณค่ายาและค่าตรวจจะอยู่ที่ 88,904,400 ล้านบาท

ยานิโลทินิบ (Nilotinib) และยาดาสาทินิบ (Dasatinib) โดยยาทั้ง 2 รายการ เป็นยารักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์ โดยยานิโลทินิบเป็นยา second-line จะใช้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในกรณีที่ไม่สามารถใช้ยาอิมาทินิบ (Imatinib) ที่เป็นยารักษาพื้นฐานได้ ส่วนยาดาสาทินิบเป็นยา third-line ใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในรายที่ไม่สามารถใช้ยาอิมาทินิบและยานิโลทินิบได้ ทั้งนี้จากข้อมูลการรักษาผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปัจจุบันมีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์ 1,400 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยดื้อต่อยาอิมมานิทิบ 500 ราย คาดว่าต้องใช้งบประมาณ 50 ล้านบาท และมีผู้ป่วยที่ดื้อต่อยาอิมานิทิบและยานิโลทินิบ 15 ราย คาดว่าต้องใช้งบประมาณ 23 ล้านบาท 

“ยา 4 รายการข้างต้นนี้เป็นยาซึ่งถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นเรียกร้อยแล้ว เป็นยาจำเป็นที่ผู้ป่วยควรได้รับ และการเห็นชอบของบอร์ด สปสช.ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความครอบคลุมการรักษามากขึ้น แต่ยังทำให้ผู้ป่วยระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถเข้าถึงการรักษา ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของ สปสช. นอกจากนี้จากการศึกษาประเมินของทางไฮเทปยังพบว่า ระหว่างผู้ป่วยที่ใช้ยาข้างต้นกับการรักษาผู้ป่วยแบบประคับประคอง การใช้ยาข้างต้นสามารถประหยัดงบประมาณค่ารักษาได้มากกว่า นอกจากนี้ยังมีความคุ้มค่าช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้น” เลขาธิการสปสช. กล่าว