ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รมช.สธ.เร่งพัฒนาสุขภาพวัยแรงงาน และพัฒนาสถานประกอบการที่ทำงานให้สะอาด ปลอดภัย น่าอยู่น่าทำงาน เผยขณะนี้ไทยมีคนวัยทำงานอายุ 15 ปีขึ้นไปจำนวน 38 ล้านกว่าคน ใช้เวลาทำงานตลอดอายุประมาณ 81,900 ชั่วโมง ข้อมูลล่าสุดมีผู้เจ็บป่วยจากการทำงานปีละ 130,000 กว่าคน

นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 1 พฤษภาคมทุกปี เป็นวันแรงงานแห่งชาติ รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายดูแลประชาชนทุกกลุ่มวัยให้มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งร่างกาย และจิตใจ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน อายุระหว่าง 15 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกำลังหลักของครอบครัวและเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ ข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดปี 2558 ทั่วประเทศมีผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 38 ล้านกว่าคน วัยทำงานจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ทำงานในที่ทำงานสัปดาห์ละกว่า 35 ชั่วโมง ตลอดอายุจะใช้เวลาทำงานเฉลี่ยประมาณ 81,900 ชั่วโมง ดังนั้นสถานที่ทำงานจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตและสุขภาพคนวัยนี้อย่างมาก เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง จึงมีนโยบายเร่งพัฒนาส่งเสริมคุณภาพสถานที่ทำงานทุกประเภท เพื่อให้สถานที่งาน น่าอยู่ น่าทำงาน สะอาด ปลอดภัย สิ่งแวดล้อมดี และมีชีวิตชีวา เมื่อแรงงานมีสุขภาพดี ย่อมส่งผลต่อสมรรถนะการทำงานเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมสุขภาพก่อนเข้าสู่วัยเกษียณ เพื่อให้คงความมีสุขภาพดีให้ได้ถึงอายุ 72 ปี ล่าสุดประเทศไทยมีสถานประกอบการทั่วประเทศ 827,051 แห่ง

นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในการพัฒนาสุขภาพกลุ่มวัยทำงาน ตามโครงการสถานที่ทำงานน่าอยู่ น่าทำงาน กระทรวงสาธารณสุขได้เน้นการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย อาทิ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย เน้นหนักการป้องกันที่ตัวบุคคล เช่นการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรัง ป่วยจากการทำงาน และบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ โดยจะมีการให้ความรู้การบริโภคอาหารที่สมดุล รณรงค์ไม่สูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ส่งเสริมให้ออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด ส่วนที่ 2 คือการจัดสภาพแวดล้อมที่ทำงานให้สะอาด ปลอดภัย น่าทำงาน และมีชีวิตชีวา โดยในปี2558 นี้ จะขยายการดูแลเพิ่มในกลุ่มแรงงานต่างด้าว เพื่อให้ได้รับความปลอดภัยจากกการทำงานด้วย

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าข้อมูลจากสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมกรมควบคุมโรค ล่าสุดในปี 2555 มีประชาชนได้รับการบาดเจ็บจากการทำงานปีละ 130,000 กว่าราย ปัญหาที่พบมาก อันดับ 1 เกิดจากวัตถุหรือสิ่งของบาด ทิ่มแทง รองลงมาคือ ถูกสิ่งของหล่นทับ และ 3. วัตถุ สิ่งของ สารเคมีกระเด็นเข้าตา ตามลำดับ ซึ่งล้วนแต่สามารถป้องกันได้ทั้งสิ้น

นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า กรมอนามัยได้จัดทำหลักเกณฑ์สถานประกอบการน่าอยู่ น่าทำงาน โดยยึดกรอบสถานที่ทำงานน่าอยู่ขององค์การอนามัยโลก โดยต้องผ่านเกณฑ์ สะอาด ปลอดภัย สิ่งแวดล้อมดี โดยในส่วนของพนักงาน จะมีการตรวจสุขภาพและบันทึกข้อมูลรายบุคคล ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา จัดกิจกรรมรณรงค์ลด ละ เลิกใช้สิ่งเสพติดต่างๆทั้ง บุหรี่ สุรา ยาเสพติด มีกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิต ในส่วนสถานประกอบการ จะเน้นที่การสร้างความปลอดภัย ทั้งเรื่องแสงสว่าง เสียง การกำจัดขยะ น้ำเสีย ห้องน้ำ ห้องสุขา ระบบการระบายอากาศ การจัดการสารเคมี การป้องกันอัคคีภัย การควบคุมสัตว์และแมลงนำโรค เป็นต้น ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีหน่วยงาน สถานประกอบการทั้งภาครัฐ และเอกชน ผ่านเกณฑ์การตรวจประเมินคุณภาพเป็นสถานประกอบการน่าอยู่น่าทำงานแล้ว 8,716 แห่ง สถานประกอบการที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ กรมอนามัย และศูนย์อนามัยทั้ง 12 เขต และจะประเมินผลหลังดำเนินการแล้ว 6 เดือน-1 ปี หากผ่านเกณฑ์ จะมอบเครื่องหมายรับรองคุณภาพ ให้เป็นสถานที่ทำงานน่าอยู่ น่าทำงาน ต่อไป