ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นพ.สสจ.เชียงใหม่ ระบุการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ต่างจังหวัดยังมีช่องว่างและแตกต่างกัน แนะปรับแก้กฎหมายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้จัดระบบการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ตนเองได้ ด้านตัวแทนจาก สสจ.อุบลฯ เห็นด้วยรวมหมายเลขการแพทย์ฉุกเฉินและเรื่องฉุกเฉินทั้งหมดเป็นหมายเลขเดียว เสนอ สธ.ทำหน้าที่ควบคุมคุณภาพมาตรฐานและให้ความรู้ ส่วนการทำงานในระดับท้องถิ่นเป็นหน้าที่ของท้องถิ่นจัดการตนเอง

นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวในการประชุมพัฒนาการขับเคลื่อนการปฏิบัติการฉุกเฉินระดับพื้นที่ ประจำปี พ.ศ. 2558 ว่า ปัจจุบันนี้การดำเนินงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินในระดับพื้นที่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแกนหลักที่สำคัญในการในการขับเคลื่อนจากผู้รับผิดชอบงานหลักของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการจังหวัดทุกจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดของบางจังหวัด สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร ทำหน้าที่ประสานและผลักดันงานในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามการพัฒนาดังกล่าวยังมีความจำเป็นต้องมีการขยายความก้าวหน้าสู่การพัฒนาที่ครอบคลุมทุกมิติให้มากขึ้น จึงได้จัดประชุมครั้งนี้ขึ้นเพื่อสร้างสัมพันธภาพการประสานความร่วมมือระหว่างสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกับเครือข่ายกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้รับทราบข้อมูลและร่วมแสดงความคิดเห็นในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อให้การปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินในทุกพื้นที่มีการพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพและความครอบคลุมของการให้บริการประชาชนยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ภายในงานได้มีการจัดการเสวนาเรื่องการพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินที่ควรจะเป็นในอนาคต โดย นพ.ไพศาล ธัญญาวินิชกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า หากจะมองการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินในอนาคตนั้นเราจะมุ่งเน้นไปในเรื่องการทำงานในระดับพื้นที่ ซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การบริหารจัดการในระดับพื้นที่และความเท่าเทียมในการให้บริการในระดับพื้นที่ยังมีความแตกต่างกันมาก โดยปัญหาที่ทำให้เกิดความแตกต่างมีหลายส่วนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องช่องว่างทางกฎหมายที่ไม่ได้ระบุในเรื่องการบริหารจัดการในพื้นที่ให้ชัดเจน โดยการทำงานที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพนั้นจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องขององค์กรที่จะต้องรับผิดชอบในแต่ละหน้าที่ในแต่ละพื้นที่จึงจะทำให้เอกภาพในการทำงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชนเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ตนมองว่าจะต้องมีการระบุให้การให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินนั้นเรื่องจำเป็นยิ่งของการทำงานของภาครัฐ และกระจายอำนาจลงไปสู่พื้นที่ระดับเขตเพื่อทำให้เกิดการตัดสินใจที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละพื้นที่ได้

ดร.วิโรจน์ เซมรัมย์ จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า มองว่าการพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินที่ควรจะเป็นในอนาคต นั้น จะต้องมีการรวมหมายเลขในการให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินและเรื่องฉุกเฉินทุกเรื่องเป็นเบอร์เดียว โดยจะกำหนดให้เป็นเบอร์ไหนก็ได้ที่เป็นสากลและประชาชนจำได้ง่าย  นอกจากนี้แล้วจะต้องมีการบูรณาการการทำงานทั้งภาครัฐและท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงสาธารณสุขจะมีหน้าที่เพียงแค่ควบคุมคุณภาพมาตรฐาน การบริการ และเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ให้กับในพื้นที่ ส่วนหน้าที่บูรณาการในการทำงานควรให้อำนาจหน้าที่ท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองได้ ซึ่งหากสามารถวางแผนการดำเนินการแบบนี้จะทำให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินในอนาคตของระดับพื้นที่นั้นยั่งยืนได้