ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สพฉ.พัฒนาการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศ ทางเลือกใหม่เพื่อคนไทย สถิติการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศยานตั้งแต่ปี 2553 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้ 195 คน สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยให้รอดชีวิตได้ถึงร้อยละ 97.9 โดยพื้นที่ที่มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมากที่สุดคือภาคเหนือ คิดเป็นร้อยละ 53.85 เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานประยุกต์ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “การปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศ ทางเลือกใหม่การแพทย์ฉุกเฉินเพื่อคนไทย โดยมีการอภิปรายเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศ

นพ.สาฬวุฒิ เหราบัตย์ ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติมีแผนในการพัฒนาระบบการปฏิบัติการฉุกเฉินทางอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งการพัฒนาเป็นเขตบริการ 12 เขต เพื่อแก้ปัญหาตามความเหมาะสมในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งมีการพัฒนาศูนย์ประสานการลำเลียงผู้ป่วยฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตามในอดีตการลำเลียงผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง และผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน แต่จากการพัฒนาระบบทำให้ปัจจุบันสามารถลำเลียงผู้ป่วยฉุกเฉินได้ภายในเวลาไม่กี่นาที และสถิติการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศยานตั้งแต่ปี 2553 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้ 195 คน สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยให้รอดชีวิตได้ถึงร้อยละ 97.9 โดยพื้นที่ที่มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมากที่สุดคือภาคเหนือ คิดเป็นร้อยละ 53.85

นพ.สาฬวุฒิ กล่าวต่อว่า การขอใช้ปฏิบัติการฉุกเฉินด้วยอากาศยาน จะต้องเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติหรือเร่งด่วน ที่เกินขีดความสามารถของสถานพยาบาลต้นทาง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ และไม่สามารถรอการเคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะปกติ โดยขั้นตอนของการขอใช้นั้น จะต้องได้รับการประเมินจากแพทย์อำนวยการในพื้นที่หรือแพทย์ที่รักษาว่าจำเป็นต้องลำเลียงหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยอากาศยานเพื่อประโยชน์ต่อการช่วยชีวิตหรือไม่ จากนั้นจะประสานงานกับศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการจังหวัด (ศูนย์ 1669) หรือสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เพื่อประเมินความเหมาะสม ให้คำแนะนำในการเตรียมผู้ป่วยฉุกเฉินก่อนการลำเลียงทางอากาศ และขออนุมัติลำเลียงภายในเวลา 10 นาที ส่วนกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินนอกสถานพยาบาลจะประสานให้หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินภาคพื้นออกไปช่วยเหลือก่อน หากสามารถทำได้ โดยการช่วยเหลือดังกล่าวผู้ป่วยฉุกเฉินจะไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

พลอากาศตรีนิรันดร พิเดช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศ กล่าวว่า ระบบการปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศของไทยจะเป็นไปในลักษณะบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงาน และประยุกต์ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อย่างไรก็ตามสถาบันเวชศาสตร์การบินถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ช่วยผลิตแพทย์และพยาบาล ให้มีความรู้ความชำนาญในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศยาน โดยที่ผ่านมามีการจัดอบรมร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติมาแล้ว 34 รุ่น หรือประมาณ 1,244 คน และในอนาคตมีการวางแผนพัฒนาเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วย โดยได้ตั้งคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ และการตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เพื่อพัฒนาการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน

ขณะที่ นพ.สุระ เจตน์วาที แพทย์เวชศาสตร์การบิน บริษัทสยามแลนด์ ฟลายอิ้ง จำกัด หนึ่งในแพทย์ไทยที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของ ทีม Doctor HELI ที่ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ปัจจุบันการแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศของไทยพัฒนาไปมาก และน่าจะทัดเทียมกับประเทศญี่ปุ่นที่เป็นต้นแบบได้ในเร็วๆ นี้ โดยปัจจุบันสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยหนักที่เกิดเหตุนอกโรงพยาบาลได้ สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤติระหว่างโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในระยะไกลได้อีกด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง