ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

"ธนาคารโลก" เผยภูมิภาคเอเชียตะวันออก เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่น ระบุไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเรียบร้อยแล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นรวดเร็ว แถมแก่ก่อนรวย แนะเร่งปฏิรูปตลาดแรงงาน-ระบบบำนาญ เปลี่ยนระบบสุขภาพให้หน่วยบริการปฐมภูมิเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพ

กรุงปักกิ่ง 9 ธันวาคม 2558 – ภูมิภาคเอเชียตะวันออกก้าวสู่สังคมสูงวัยเร็วที่สุดในโลกโดยประชากรอายุเกิน 65 ปีมีมากกว่า 211 ล้านคน รายงานล่าสุดของธนาคารโลกชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ เป็นประวัติการณ์ ประเทศที่มีรายได้ปานกลางและร่ำรวยจะสูญเสียกำลังแรงงานประมาณร้อยละ 15 ภายในปี พ.ศ. 2583

รายงาน “Live Long and Prosper: Aging in East Asia and Pacific” พบว่าร้อยละ 36 ของประชากรโลกที่มีอายุกว่า 65 ปีขึ้นไปหรือประมาณ 211 ล้านคนนั้นอาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ภายในปี พ.ศ. 2583 จำนวนประชากรผู้ใหญ่วัยทำงานในเกาหลีใต้จะลดลงมากกว่าร้อยละ 15 ส่วนจีน ไทย และญี่ปุ่นประชากรผู้ใหญ่วัยทำงานจะลดลงมากกว่าร้อยละ 10 โดยอัตราส่วนดังกล่าวของประเทศจีนเทียบเท่ากับจำนวนแรงงานถึง 90 ล้านคน

การที่จำนวนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกทำให้เกิดประเด็นท้าทายด้านนโยบาย เศรษฐกิจ และความกดดันด้านการคลัง และความเสี่ยงด้านสังคม ซึ่งหากไม่มีการปฏิรูป เช่น ระบบบำนาญแล้ว คาดว่าภายใน ปี พ.ศ. 2583 ภูมิภาคนี้ต้องใช้เงินถึงประมาณร้อยละ 8-10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพื่อจ่ายเงินบำนาญ ขณะที่ระบบสุขภาพของประเทศในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการเตรียมการเพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายที่จะมาพร้อมกับสังคมสูงวัย อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่นๆ ซึ่งเป็นโรคที่ผู้สูงวัยป่วยประมาณร้อยละ 85 ภายในปี พ.ศ. 2573 นอกจากนี้ผู้สูงวัยที่มีครอบครัวดูแลในปัจจุบันมีจำนวนน้อยลงกว่าเมื่อก่อน

“ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านด้านประชากรอย่างรวดเร็วกว่าที่เราเคยเห็นมาก่อน และประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะแก่ก่อนรวย” นายแอ๊กเซล ฟานทรอตเซนบวร์ก รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าว “การจัดการกับเรื่องสูงวัยนั้นไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของคนสูงอายุเท่านั้น หากแต่ต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมเข้าถึงในทุกช่วงของชีวิตเพื่อช่วยกำลังแรงงานและส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น โดยผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเรื่องการดูแลเด็กเล็ก การศึกษา สุขภาพ บำนาญ การดูแลผู้สูงวัยในระยะยาวและอื่นๆ”

รายงานนี้ได้วิเคราะห์ผลกระทบจากสังคมสูงวัยที่อาจมีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมไปถึงแนวทางการใช้จ่ายภาครัฐ

รายงานนี้ยังได้วิเคราะห์ทบทวนนโยบายที่มีอยู่ในปัจจุบันและให้ข้อเสนอแนะแก่ประเทศที่มีความหลากหลายด้านประชากรว่าควรจะตระหนักถึงความท้าทายเรื่องตลาดแรงงาน ระบบประกันสังคม สุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงผู้สูงวัยในภูมิภาคนี้ในด้านความเป็นอยู่ การทำงาน และการเกษียณอายุในปัจจุบัน

รายงานกล่าวว่าการที่ประชากรสูงวัยในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น มีสาเหตุบางประการจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของภูมิภาคนี้ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา การที่ประชาชนมีรายได้สูงและมีการศึกษาที่ดีขึ้นส่งผลให้ประชาชนมีอายุยืนยาว และผนวกกับอัตราการเกิดที่ลดต่ำลงอย่างมาก รวมถึงประเทศที่มีระดับอัตราการเกิดที่ไม่สามารถทดแทนประชากรผู้สูงวัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น ดังนั้น ภายในปี พ.ศ. 2603 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกจะมีจำนวนประเทศที่มีประชากรสูงวัยมากที่สุดถึง 1 ใน 5 เมื่อเทียบกับ 1 ใน 25 เมื่อปี พ.ศ. 2553

ประเทศต่างๆ กำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยในรูปแบบที่แตกต่างกัน ประเทศที่ร่ำรวย อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ จัดว่าเป็นสังคมสูงวัยแบบก้าวหน้า ด้วยประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมีจำนวนร้อยละ 14 หรือมากกว่า ประเทศที่ยังมีประชากรสูงวัยน้อยกว่าและยากจนกว่า เช่น กัมพูชา ลาว และ ปาปัวนิวกินี มีประชากรที่อายุ 65 ปีขึ้นไปเพียงร้อยละ 4 แต่ประเทศเหล่านี้กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างรวดเร็วภายใน 20-30 ปีข้างหน้านี้

ส่วนประเทศที่มีรายได้ปานกลาง อาทิ จีน ไทย และเวียดนามต่างเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วและได้เผชิญกับความท้าทายที่กดดันการบริหารจัดการเรื่องสูงวัย

“มีความเป็นไปได้ที่จะจัดการเรื่องสูงวัยไปพร้อมกับรักษาพลวัตรทางเศรษฐกิจในภูมิถาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก แต่ต้องดำเนินการผ่านการตัดสินใจเชิงโยบายที่เข้มแข็งและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในเรื่องลูกจ้าง นายจ้างและสังคมโดยรวมอย่างชัดเจน” นายชูเดีย เชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกล่าวต่อไปอีกว่า “ภูมิภาคนี้กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านทั้งด้านประชากรและโรคระบาด ซึ่งจำเป็นต้องมีนโยบายเชิงรุกเพื่อที่จะจัดการกับเรื่องบำนาญ การดูแลสุขภาพ และตลาดแรงงาน”

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีความได้เปรียบหลายประการในการรับมือกับสังคมผู้สูงวัย โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกได้เริ่มเตรียมการรับมือมานานกว่าภูมิภาคอื่น ประชากรในภูมิภาคนี้มีอัตราการฝากเงินสูงในทุกช่วงอายุ ได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้น และมีระบบประกันสังคมที่มีกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์สูงเพียงเล็กน้อย

“ประชากรศาสตร์เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลมากต่อการพัฒนา แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องของโชคชะตา” นายฟิลิป โอคีพ ผู้เขียนหลักของรายงานฉบับนี้กล่าว “การเลือกดำเนินนโยบายของรัฐบาลจะช่วยให้สังคมสามารถปรับตัวรับกับเรื่องผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพและการสูงวัยอย่างมีคุณค่า”

รายงานนี้ได้เสนอแนะการปฏิรูปที่ควรดำเนินการ ดังนี้

ในเรื่องตลาดแรงงาน ประเทศที่มีความหลากหลายด้านประชากรอย่างญี่ปุ่น มาเลเซีย และฟิจิสามารถส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้ามาอยู่ในภาคแรงงานมากขึ้น โดยผ่านการปฏิรูปการดูแลเด็กเล็ก

ส่วนจีน เวียดนาม และไทยควรยกเลิกประโยชน์จากระบบบำนาญที่ส่งเสริมให้คนงานโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงในเมืองให้เกษียณอายุเร็วเกินไป

ส่วนประเทศที่เศรษฐกิจก้าวหน้าอย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ควรใช้ประโยชน์จากการเปิดให้มีแรงงานย้ายถิ่นอายุน้อยเข้ามาช่วยตลาดแรงงานในประเทศ นอกจากนี้ ทุกประเทศจำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพของกำลังแรงงานที่มีอยู่ โดยสร้างความเข้มแข็งให้การศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

รายงานนี้เสนอให้ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกปฏิรูประบบบำนาญที่มีอยู่ ซึ่งรวมถึงการขยายอายุเกษียณแบบค่อยเป็นค่อยไป การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ ควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จะขยายระบบบำนาญที่มีอยู่ให้ครอบคลุมกลุ่มแรงงานนอกระบบ สำหรับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ยังมีอายุน้อย รายงานนี้ได้แนะนำให้รัฐบาลตระหนักถึงการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วและสร้างระบบบำนาญที่ยั่งยืนเพื่อรับมือกับเรื่องสูงวัยในอนาคต

รายงานนี้แนะนำให้เปลี่ยนการดำเนินงานระบบสุขภาพจากเดิมที่โรงพยาบาลเป็นศูนย์กลางไปสู่หน่วยบริการระดับปฐมภูมิ เช่น โรงพยาบาลชุมชน รวมถึงส่งเสริมการจัดการผู้ป่วยที่มีสภาวะเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการด้านสุขภาพและระบบการดูแลผู้สูงวัยในระยะยาวที่เพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพทางการเงิน

การปรับโครงสร้างนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินการในเรื่องเภสัชกรรมและเทคโนโลยี และการจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่เจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังต้องการกำลังคนด้านสุขภาพที่สามารถให้บริการในระดับปฐมภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนความท้าทายระยะยาวนั้น รายงานกล่าวว่าต้องมีการพัฒนารูปแบบการให้บริการที่ประชาชนสามาถจ่ายได้ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวร่วมกับชุมชนและการใช้บ้านเป็นศูนย์กลาง