ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สำนักข่าวอิศรา : ก.ล.ต.แจ้งดีเอสไอ เอาผิด ‘นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์’ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท รพ.รามคำแหงฯ ได้ประโยชน์จากการขายหุ้นถูกอย่างมีนัยสำคัญ ทำบริษัทเสียหายกว่า 300 ล้าน ระหว่างถูกสอบไม่สามารถนั่งเป็นกรรมการ-ผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 58 สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) หรือ RAM (ปัจจุบันเป็นกรรมการแพทยสภา และกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)) ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง และซื่อสัตย์สุจริต ทำการทุจริตแสวงหาประโยชน์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่นทำให้ บริษัทเสียหาย และกระทำหรือยินยอมให้มีการทำผิดเกี่ยวกับเอกสารของบริษัท

ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า นพ.เอื้อชาติ กรรมการผู้จัดการ RAM (ขณะนั้น) มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานและจัดการทรัพย์สินของ RAM ได้จัดการให้บริษัทขายหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ที่บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหงฯ ลงทุนไว้ออกไปเมื่อปลายปี 2555 ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมีนัยสำคัญให้แก่บุคคลอื่นที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง และมีผลประโยชน์ร่วม ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายเบื้องต้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท และ นพ.เอื้อชาติ ยังได้รับประโยชน์จากการกระทำอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย

การกระทำข้างต้นเข้าข่ายเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 89/7 ซึ่งมีระวางโทษตามมาตรา 281/2 วรรคสอง มาตรา 307 มาตรา 311 และมาตรา 313 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แม้ว่าต่อมาเมื่อเดือน ธ.ค. 2557 นพ.เอื้อชาติได้ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ RAM แล้ว แต่เป็นการชดเชยความเสียหายหลังจากที่ ก.ล.ต. ตรวจพบความผิด

นอกจากนี้ นพ.เอื้อชาติได้กระทำหรือยินยอมให้มีการไม่ลงข้อความสำคัญในเอกสารของ RAM เพื่อหลีกเลี่ยงไม่แสดงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นกับ RAM ไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทจำนวน 4 งวด ได้แก่ งวดปี 2555 งวดไตรมาส 1/2556 งวดไตรมาส 3/2556 และงวดปี 2556 ซึ่งเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 312 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

จากพฤติการณ์ดังกล่าว ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษ นพ.เอื้อชาติต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ซึ่งตลอดระยะเวลาการกล่าวโทษดำเนินคดี ทำให้ นพ.เอื้อชาติเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน จึงไม่สามารถเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนได้ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

ทั้งนี้ การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรมตามลำดับ 

ขอบคุณภาพและข่าวจาก สำนักข่าวอิศรา