ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเคาะผ่านร่างธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติฉบับใหม่ เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเพื่อประกาศเป็นพิมพ์เขียวภาพอนาคตระบบสุขภาพไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า เตรียมแผนหนุนหน่วยงานและองค์กรสุขภาพทั่วประเทศ ใช้เป็นกรอบแนวทางกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ดูแลสุขภาพประชาชน ป้องกันภัยคุกคามสุขภาวะ

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2559 การประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 2/2559 มี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธาน ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (ร่าง) ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.... ตามที่คณะกรรมการทบทวนธรรมนูญฯ ที่มี นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา เป็นประธานเสนอ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่ให้มีการทบทวนธรรมนูญฯ ทุก 5 ปีเพื่อให้มีเนื้อหาสาระทันสถานการณ์

ทั้งนี้ ธรรมนูญฯ ฉบับแรกประกาศใช้ในปี 2552 ส่วน ร่างธรรมนูญฯ ฉบับที่ 2 นี้ได้ผ่านกระบวนการทบทวนยกร่างกว่า 1 ปี โดยใช้หลักการข้อมูลวิชาการเชิงประจักษ์ หลักการมีส่วนร่วม หลักการสร้างความเป็นเจ้าของ และหลักการสร้างการรับรู้และเรียนรู้ของสังคม และผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นอย่างรอบด้านจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ/วิชาชีพ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมีผู้เข้าร่วมเวทีรับฟังความเห็นกว่า 2,000 คน และมีหน่วยงาน/องค์กรต่างๆ ให้ข้อเสนอแนะเป็นเอกสารกว่า 100 องค์กร

พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวว่า ร่างธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.... มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบสุขภาพไทยในอนาคต เพราะจะเป็นกรอบแนวทางและทิศทางให้หน่วยงาน/องค์กรต่างๆ นำไปใช้สร้างสุขภาวะให้กับประชาชน หลังจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเห็นชอบแล้ว จะเร่งเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนรายงานให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ ก่อนจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งตามมาตรา 48 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 กำหนดให้ธรรมนูญฯ ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีผลผูกพันหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้นำไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป  

“ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ได้แสดงถึงแนวโน้มของสถานการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อระบบสุขภาพคนไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า ทั้งปัจจัยบวกและลบ กำหนดหลักการสำคัญและภาพที่พึงประสงค์ของระบบสุขภาพในสถานการณ์ข้างต้นตามหมวดต่างๆ ของระบบสุขภาพ รวมทั้งสิ้น 17 หมวด ซึ่งองค์กรต่างๆ สามารถนำธรรมนูญฯ ฉบับนี้ไปใช้ใน 4 วิธี คือ

1) หน่วยงาน องค์กรรัฐสามารถนำไปใช้เป็นกรอบและแนวทาง พัฒนานโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานผ่านการจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดินหรือโครงการ

2) องค์กรสุขภาพต่างๆ นำไปขับเคลื่อนให้เกิดรูปธรรมตามเนื้อหาสาระที่เป็นเป้าหมายของ ภาพพึงประสงค์ร่วม

3) ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำไปเป็นหลักการทำ ธรรมนูญสุขภาพพื้นที่ เพื่อเป็นกติกาหรือข้อตกลงร่วมกันในชุมชน

และ 4) นำเนื้อหาสาระไปสื่อสาร เพื่อให้สังคมเห็นภาพระบบสุขภาพในอนาคตที่ตรงกัน และร่วมกันผลักดันให้ถึงเป้าหมายตามบทบาทของตน” พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว

หลักการสำคัญของร่างธรรมนูญฯ ฉบับนี้ คือ กำหนดให้สุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน ขณะเดียวกันบุคคลก็ต้องมีบทบาทในการดูแลสุขภาพทั้งของตนเองและครอบครัว หลีกเลี่ยงพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม โดยรัฐมีหน้าที่ส่งเสริม คุ้มครองและสนับสนุนบุคคลให้ดูแลสุขภาพ และยึดหลักการพึ่งตนเองตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วย ขณะที่การกำหนดนโยบายสาธารณะต่างๆ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพ โดยนำแนวทาง “ทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพ” (Health in All Policies) มาใช้ เพื่อให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดี อีกทั้งระบบสุขภาพที่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งสร้างเสริมสุขภาพทั้งทาง กาย จิต ปัญญา และสังคม รวมถึงมีหลักประกันและคุ้มครองสุขภาพประชาชนที่จะนำไปสู่สุขภาวะที่มั่นคงและยั่งยืน โดยครอบคลุมคนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย

ทั้งนี้ ร่างธรรมนูญฯ ฉบับที่ 2 ให้ความสำคัญอย่างมากกับบทบาทและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการระบบสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ทั้งชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาควิชาการ/วิชาชีพ และหน่วยงานรัฐ โดยในแต่ละหมวดได้กำหนดภาพพึงประสงค์ที่มีต่อบทบาทภาคส่วนต่างๆ ที่มีต่อระบบสุขภาพในอนาคตไว้ด้วย