ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลัง นำคณะเยือนประเทศภูฏาน ว่า ในการเยือนประเทศภูฎานในครั้งนี้ ได้เข้าเยี่ยมกรมการแพทย์ดั้งเดิมของภูฏาน โดยเป็นการแพทย์ดั้งเดิมของภูฏานมีการสะสมภูมิปัญญาด้านการแพทย์มาอย่างยาวนาน และเป็นที่นิยมใช้ในการรักษาผู้ป่วยของภูฎานอย่างแพร่หลาย ซึ่งเหมือนกับประเทศไทยที่มีการนำการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เข้ามาในระบบการให้บริการสุขภาพถ้วนหน้าเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งสองประเทศได้เห็นชอบที่จะมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การแพทย์ดั้งเดิมระหว่างกันในลำดับต่อไป

นพ.ปิยะสกล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ได้เยี่ยมชม โรงพยาบาลส่งต่อผู้ป่วยแห่งชาติ สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี ดอร์จี วังชุก (Jigme Dorji Wangchuck National Referral Hospital) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดของภูฏาน โดยประธานของโรงพยาบาลและคณะได้พาเยี่ยมชมภารกิจของโรงพยาบาลในแผนกต่างๆ ทั้งนี้ได้มีการหารือความร่วมมือในการส่งผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อนมารักษาต่อที่ประเทศไทย และการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางในสาขาที่ขาดแคลน เช่น แพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ โรคไต และโรคทางเดินอาหาร เป็นต้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้การสนับสนุนการพัฒนา โดย นพ.อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ร่วมคณะไปในครั้งนี้ พร้อมให้การสนับสนุนในด้านดังกล่าวร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขไทยด้วย

โดยกระทรวงสาธารณสุขและมหาวิทยาลัยมหิดล มีความพร้อมในการสนับสนุนความร่วมมือด้านสาธารณสุขแก่ภูฏาน โดยจะมีการปรับปรุงสาขาความร่วมมือในบันทึกช่วยจำ (MOU) ฉบับปัจจุบัน รวมทั้งการส่งต่อผู้ป่วยและพระสงฆ์มารักษาในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามความร่วมมือร่วมกันได้ในปี 2560 และพร้อมเดินหน้าจัดทำแผนปฏิบัติการหลังการลงนามความร่วมมือทันที นพ.ปิยะสกล กล่าว

ทั้งนี้ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก และกราบบังคมทูลผลการหารือความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทยและภูฏาน และความพร้อมของกระทรวงสาธารณสุขไทยในการสนับสนุนการพัฒนาสาธารณสุขภูฏานอย่างต่อเนื่อง สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงแสดงความพอพระราชหฤทัยในผลการปรึกษาหารือดังกล่าว นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีภูฏานได้ขอให้นำความขอบคุณของตนไปยังนายกรัฐมนตรีของไทยที่ให้ความช่วยเหลือประเทศภูฏานอย่างเต็มที่ และขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขไทยที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาด้านการสาธารณสุขที่เข้มแข็งมาโดยตลอดด้วย