ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รพ.พญาไท 2 เผยโอกาสเติบธุรกิจสุขภาพยังมีสูงมาก โดยเฉพาะสุขภาพผู้หญิง แจงผลประกอบการปี 59 อยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 10% คาดปี 60 มีรายได้เพิ่มเป็น 4.1 พันล้านบาท มุ่งลูกค้าต่างชาติมากขึ้นขยายฐานลูกค้าต่างชาติไปในประเทศจีน อินโดนีเซีย มิดเดิลอีสต์ และภูฏาน 

นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ขอบคุณภาพจาก brandbuffet.in.th

นสพ.สยามธุรกิจ : นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า สำหรับภาพรวมมูลค่าตลาดโรงพยาบาลเอกชนปี 2559 ที่ผ่านมาพบว่าสัดส่วนผู้ใช้บริการต่างชาติ 25% และคนไทย 75% โดยเฉพาะในส่วนของคนไทยนั้นพบว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงถึง 344,000 ล้านบาท โตขึ้น 7% แบ่งออกเป็น เงินสด 27% ราชการ 18% ประกันสังคม 12% ประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) 43% จะเห็นได้ว่าโอกาสเติบโตในธุรกิจนี้ยังมีอยู่สูงมาก โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพหญิง

ทั้งนี้ ผลประกอบการในปีที่ผ่านของเราอยู่ที่ 3,700 ล้านบาท โต 10% มาจากศูนย์สุขภาพหญิง 24% อายุรกรรม 20% ศูนย์สุขภาพเด็ก 20% และศูนย์กระดูกและข้อ 17% เป็นต้น โดยปีนี้คาดว่าจะยังคงเติบโตขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 10% หรือน่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 4,100 ล้านบาท ขณะที่จำนวนผู้ป่วยนอกในปีก่อนที่เข้าใช้บริการอยู่ที่ 680,000 ราย ปีนี้น่าจะสูงขึ้นเป็น 690,000 ราย หรือ เพิ่มขึ้นปีละ 10,000 คน ส่วนจำนวนผู้ป่วยในในปีก่อนนั้นอยู่ที่ 20,600 ราย ปีนี้น่าจะเพิ่มอีก 5% หรือประมาณ 21,600 คน ภายใต้แพทย์รองรับการให้บริการกว่า 600 คน

สำหรับปีนี้ทางโรงพยาบาลพร้อมใช้งบลงทุนกว่า 600 ล้าน บาทสำหรับ 3 ปีหลังจากนี้ในการปรับปรุงสถานที่ เสริมศักยภาพศูนย์การแพทย์ ด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีการแพทย์ รวมถึงการพัฒนาโปรแกรมด้านการศึกษา เพื่อเป็นศูนย์การแพทย์ที่เป็นเลิศครบวงจร เช่น มีศูนย์อุบัติเหตุ ศูนย์ต่ออวัยวะ ศูนย์เปลี่ยนไต/ตับ ศูนย์รักษาโรคความจำเสื่อม อีกทั้งยังเดินหน้าขอรับรองความเชี่ยวชาญรายโรค หรือ CCPC เพิ่มด้านการรักษาโรคทางด้านนรีเวชและมาตรฐานการรักษาของศูนย์สุขภาพเด็ก เป็นต้น

ขณะที่งบประจำปีนี้ยังคงใช้อีก 200 ล้านบาทในการปรับปรุงซื้อเครื่องมือต่างๆ อีกทั้งปีนี้ยังให้ความสำคัญต่อลูกค้าต่างชาติมากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วน 18-20% โดยเราตั้งเป้าว่าใน 3 ปีจะเพิ่มเป็น 40-50% โดยจะมุ่งขยายฐานลูกค้าต่างชาติไปในประเทศจีน อินโดนีเซีย มิดเดิลอีสต์ และภูฏาน จากปัจจุบันกลุ่มเขมร พม่า และจีน เข้ามาใช้บริการมากสุดตามลำดับ

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 11 - 17 ก.พ. 2560