ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

‘หมอประทีป’ เตือนถ้า สธ.เดินหน้าแก้ พ.ร.บ.บัตรทอง แยกเงินเดือนจะทำให้คนอีสานและคนยากจนในกรุงเทพฯ ที่ใช้บัตรทองเดือดร้อน เพราะจะทำให้ รพ.อีสานได้เงินน้อยลงกว่า 3,000 ล้านบาท และ รพ.ชุมชนทั่วประเทศมากกว่า 800 แห่งรวมทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่นกว่า 200 แห่ง จะได้งบเหมาจ่ายน้อยลงกว่า 1,400 ล้านบาท เงินบัตรทองจะเทไปที่ภาคกลางและ รพ.ขนาดใหญ่ ที่มีศักยภาพมากอยู่แล้ว ส่งผลให้คนไข้ที่ยากจนต้องไปพึ่ง รพ.เอกชนมากขึ้น

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการมูลนิธิมิตรภาพบำบัด และอดีตรักษาการเลขาธิการ สปสช. เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข กำลังผลักดันร่างแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ผ่านความเห็นชอบแล้วจากคณะกรรมการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง โดยคาดว่าจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ก่อนเสนอเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติและออกเป็นกฎหมายใหม่บังคับใช้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2560

แม้จะมีกระแสความวิตกของประชาชนที่ต้องพึ่งระบบบัตรทอง และเสียงคัดค้านจากกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ แพทย์ชนบท อดีตผู้บริหารและนักวิชาการสาธารณสุขว่า เป็นร่างแก้ไข พ.ร.บ.ที่หมกเม็ดมีการเพิ่มเติมสัดส่วนตัวแทนกระทรวงสาธารณสุขให้มีเสียงมากขึ้นในโครงสร้างคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีอำนาจในการเพิ่มหรือลดสิทธิการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และการร่วมจ่ายของประชาชนในอนาคต การไม่เพิ่มความชัดเจนในการจัดซื้อยาและวัคซีนรวม

รวมทั้งมีประเด็นการแยกเงินเดือนออกจากงบเหมาจ่ายบริการสาธารณสุขที่หน่วยบริการทั่วประเทศจะได้รับ ซึ่งจะกระทบต่อ รพ.ขนาดเล็กในภาคอีสานและคลินิกเอกชนในกรุงเทพฯ อาจถึงกับต้องถอนตัวออกจากระบบบัตรทองของ สปสช. ประชาชน คนยากคนจนเข้าถึงการบริการสาธารณสุขได้ยากขึ้น ทำให้ระบบ 30 บาทในอนาคตอยู่ในอันตรายได้ เป็นประเด็นเพิ่มความขัดแย้ง เพิ่มช่องว่างในสังคม และจะเป็นประเด็นหาเสียงของกลุ่มหรือพรรคการเมืองในเวทีเลือกตั้งข้างหน้าได้

“เรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.บัตรทองในครั้งนี้น่าเป็นห่วงมาก เพราะนอกจากไม่ได้แก้ไขตามข้อเสนอของคณะกรรมการวิชาการทั้ง 2 คณะที่มี ศ.อัมมาร สยามวาลา และ ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล เป็นประธานแล้ว กลับมีการเพิ่มอีกหลายประเด็นที่เป็นประเด็นขัดแย้งนอกเหนือจากคำสั่งที่หัวหน้า คสช.ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกมาเมื่อกลางปี 2559 ทำให้การบริหารกองทุนบัตรทองของ สปสช.และหน่วยบริการในระบบของกระทรวงสาธารณสุขสามารถเดินหน้าได้เป็นอย่างดี ประเด็นที่เพิ่มเติมอาทิเช่น การแยกเงินเดือนของบุคคลากรของหน่วยบริการออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวโดยไม่มีการศึกษาเพิ่มเติม หรือไม่ได้ใช้ข้อมูลผลการศึกษาที่มีอยู่แล้วมาประกอบการตัดสินใจแก้ พ.ร.บ.”

อดีตรักษาการเลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า ดังนั้นถ้า รมว.สาธารณสุขยังดึงดันให้มีการแยกเงินเดือนจะส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการในภาคอีสาน งบประมาณเหมาจ่ายจะลดลงทันทีกว่า 3,000 ล้านบาท และหน่วยบริการขนาดเล็กของรัฐ เช่น รพ.ชุมชน รพ.สต.นับหมื่นแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่นของเอกชนในระบบของ สปสช. กว่า 200 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะได้รับงบเหมาจ่ายรายหัวน้อยลงกว่า 1,400 ล้านบาท อาจทำให้หน่วยบริการเหล่านี้ต้องลดขีดความสามารถในการให้บริการหรือปิดตัวเองถอนออกจากระบบบัตรทองได้ เงินบัตรทองจะเทไปที่ภาคกลางและ รพ.ขนาดใหญ่ ที่มีศักยภาพมากอยู่แล้ว เพราะมีหมอ พยาบาลมาก และมีแหล่งรายได้อื่น เช่น รายได้จากข้าราชการ ประกันสังคม หรือประกันเอกชน ระบบบริการสาธารณสุขและหลักประกันสุขภาพของรัฐจะขัดแย้ง ปั่นป่วน และอ่อนแอลง ส่งผลเป็นการส่งต่อคนไข้ที่ยากจนให้ไปพึ่ง รพ.เอกชนมากขึ้น

นพ.ประทีป กล่าวต่อว่า การแก้ พ.ร.บ.เพื่อแยกเงินเดือนช่วยแก้ไขปัญหาของ รพ.ขนาดใหญ่ในภาคกลางบางแห่งได้ แต่จะกระทบและเพิ่มปัญหาให้กับ รพ.ชุมชน และ รพ.สต.ทั่วประเทศนับหมื่นแห่ง โดยเฉพาะในภาคอีสานจะถูกกระทบหนัก รวมทั้งคลินิกเอกชนกว่าสองร้อยแห่งใน กทม. อาจต้องปิดตัวแยกออกจากระบบบัตรทอง เป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงกับรัฐบาลและประชาชนสูง เพราะขาดความรอบรู้ ไม่ใช้ข้อเท็จจริงทางวิชาการ ไม่เปิดให้มีการถกเถียงอย่างเพียงพอเพื่อหาข้อสรุปยุติจากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เข้าทำนองยิ่งแก้ พ.ร.บ.จะยิ่งเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความกังวลว่าคนจนจะลำบากมากขึ้นในอนาคต เพิ่มความขัดแย้งภายในสังคมมากขึ้น ทำให้ระบบบริการสาธารณสุขของรัฐและการบริหารกองทุนของ สปสช. อ่อนแอลง ส่งผลต่อคนไข้ที่ยากจนและคนชั้นกลางต้องไปพึ่งบริการสาธารณสุขของ รพ.เอกชนที่มีราคาแพงมากขึ้น

“ถ้าท่านรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็นต้องแก้ พ.ร.บ.บัตรทองจริง และมุ่งประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเพิ่มมากขึ้นตามที่กล่าวอ้าง ก็ควรแก้เฉพาะประเด็นในคำสั่งของหัวหน้า คสช.ที่ใช้อำนาจตาม ม.44 และเพิ่มทำให้ชัดเจนขึ้นในประเด็นเรื่องการจัดซื้อยาและวัคซีนที่จำเป็นต้องจัดซื้อรวม ก็น่าจะเพียงพอแล้ว” นพ.ประทีป กล่าว