ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

‘อนุสรณ์’ ชี้ สถานพยาบาลของรัฐในขณะนี้ถือว่าเต็มศักยภาพด้านการบริการของประชาชนแล้ว

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงการจัดสรรงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพประชาชนว่า รัฐบาลควรจะมีการจัดสรรงบประมาณโดยเฉพาะการป้องกันมากกว่าการรักษาให้มากขึ้น แม้ขณะนี้จะมีการดำเนินการด้านนี้อยู่แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอเนื่องจากจะเห็นได้จากความแออัดที่ประชาชนรอรับบริการจากสถานพยาบาลของภาครัฐอยู่ นอกจากนี้ สถานพยาบาลของรัฐในขณะนี้ถือว่าเต็มศักยภาพด้านการบริการของประชาชนแล้ว

ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลอาจจะแสวงหาความร่วมมือ รวมถึงบริหารจัดการงบประมาณโดยมุ่งไปที่โรงพยาบาลเอกชน และซื้อบริการเพื่อให้ช่วยดูแลสุขภาพของประชาชนด้วย ซึ่งรูปแบบอาจจจะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้กับโรงพยาบาลเอกชนโดยการเพิ่มงบประมาณให้ และแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลรัฐ รวมถึงจะช่วยให้โรงพยาบาลเอกชนเข้าสู่ระบบมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลเอกชนมีการแข่งขันที่จะให้บริการกับประชาชนจากการที่รัฐเป็นผู้ซื้อบริการ ซึ่งผลประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนอย่างมาก

นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณไปยังโรงพยาบาลเอกชน น่าจะเป็นผลดีด้วยเช่นกัน เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนเมื่อเข้ามาสู่ระบบจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากรัฐบาลที่เป็นผู้ซื้อบริการ รวมถึงแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรัฐได้มากขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้ประชาชนเข้าไปรับบริการจำนวนมาก และอาจะทำให้การบริการของเจ้าหน้าที่รัฐหย่อนลงไปเนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนักมากขึ้นและงบประมาณก็ถูกจำกัด

"โรงพยาบาลเอกชนมีการแข่งขันและแสวงหาผลกำไรอยู่แล้ว หากรัฐบาลไปจัดการซื้อบริการ ผลประโยชน์ที่ได้จะมาอยู่กับประชาชน ที่จะได้รับการบริการที่มีคุณภาพและดีมากขึ้น รวมถึงลดการรอรับการรักษาจากโรงพยาบาลรัฐที่นานเกินไปด้วย" ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว

ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องการจัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพของรัฐบาลเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเราจะผลักดันประเทศให้เป็น Medical Hub ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลด้านสุขภาพของคนในประเทศให้ดียิ่งขึ้นควบคู่ไปด้วย รวมถึงต้องผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอในอนาคต และการจัดสรรงบประมาณที่ถูกต้องจะช่วยในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพด้านการรักษาพยาบาลให้กับประชาชน