ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เครือข่ายกู้ชีพลั่นเตรียมฟ้องศาลปกครองเบรกประกาศ สพฉ. ทันทีที่ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ย้ำหมออัจฉริยะชี้แจงยังไม่เคลียร์ไม่ช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 นายพิสิษฐ์ พงษ์ศิริศุภกุล เลขาธิการมูลนิธิพุทธธรรมฮุก 31 นครราชสีมา เปิดเผยว่า ได้รับฟังการแถลงของ นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประกาศ สพฉ. เรื่อง หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ พ.ศ.2560 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 แล้ว (ดูข่าว ที่นี่) แต่ก็ยังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานกู้ชีพที่คัดค้านประกาศฉบับนี้แต่อย่างใด โดยแนวทางการคัดค้านในขณะนี้จะรอดูสถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่มีคืบหน้าในทางบวกเพื่อกลับมาคุยกันหรือตกลงอะไรกัน แล้วมีการประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อไหร่ก็จะฟ้องศาลปกครองทันที

“วันนี้ทีมกฎหมายพร้อมแล้ว เราพยายามรวบรวมข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลิปหรืออะไรที่เขาพูด เราก็จะรวบรวมเพื่อเสนอขอความเมตตาจากศาล แต่ตอนนี้ความผิดยังไม่สำเร็จก็ยังทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าประกาศออกมาปุ๊ป เราจะยื่นฟ้องศาลขอเพิกถอนทันที ส่วนจะเป็นยังไงในอนาคตก็ว่ากันไป” นายพิสิษฐ์ กล่าว

นายพิสิษฐ์ กล่าวอีกว่า แนวทางการชี้แจงของเลขาธิการ สพฉ. บางเรื่องก็พูดเฉพาะส่วนที่เป็นผลดี แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลทั้งหมด เช่น คราวก่อนบอร์ด สพฉ.มีมติให้ไปทบทวนแก้ไขและอธิบายให้เครือข่ายกู้ชีพรับทราบและเป็นที่พึงพอใจ ให้เข้าใจทุกฝ่าย แต่ก็หยิบมาเป็นบางวรรคบางตอนว่ารัฐมนตรีให้ไปอธิบายให้เครือข่ายทราบ หรืออย่างเรื่องสีรถก็ไม่เคยพูดเลยว่าติดสติ๊กเกอร์ได้ เพราะในประกาศบอกว่าให้เป็นสีหลักของตัวถังรถ ไม่ได้บอกว่าติดสติ๊กเกอร์ทดแทนได้ แต่วันนี้กลับมาบอกว่าอาจจะติดสติ๊กเกอร์เป็นสีเหลืองคาดไว้ได้ หรือเรื่องสีรถบางครั้งบอกว่าเป็นสีเหลืองมะนาว บางครั้งพูดว่าเขียวมะนาว แต่ตามตัวอักษรในตัวบทกฎหมายคือเป็นสีเหลืองกำมะถัน มีเบอร์สีชัดเจน

หรือประเด็นที่ชี้แจงว่าประกาศฉบับนี้จะบังคับใช้กับหน่วยปฏิบัติการที่เกิดขึ้นใหม่ ส่วนหน่วยเดิมที่ขึ้นทะเบียนแล้วก็ให้ทำงานต่อไป แต่เมื่อถึงเวลาตรวจรับรองหน่วยปฏิบัติการในอีก 5 ปีข้างหน้า คู่มือแนวทางการตรวจรับรองหน่วยปฏิบัติการก็จะอ้างจากประกาศฉบับนี้อยู่ดี

“ที่ว่าให้ใช้เฉพาะหน่วยใหม่ แต่หน่วยเก่าที่ขึ้นทะเบียนแล้วไม่ต้อง อันนี้ระบุไว้ชัด แต่การปฏิบัติในการตรวจรับรองฯ ครั้งต่อไป อย่างหน่วยของผมจะต้องตรวจรับรองหน่วยใหม่ ถามว่าจะเอาระเบียบอะไรมา ก็ต้องมานั่งเถียงกันในอนาคตอีก คือถ้าครบกำหนด 5 ปี พอเราปรับเปลี่ยนได้ข้อหนึ่งแต่ยังผิดอีกข้อหนึ่ง แล้วจะตรวจรับรองให้มันครบถ้วนได้อย่างไร ถ้า ณ วันนั้นสีรถผมถูกต้องแต่หน่วยปฏิบัติการผมยังได้รับการรับรองไม่ครบ ก็รับรองหน่วยไม่ได้ ออกปฏิบัติการไม่ได้” นายพิสิษฐ์ กล่าว

นายพิสิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า การดำเนินงานของ สพฉ. เดินไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่เหลียวหลังกลับมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้บัตรประจำตัวผู้ปฏิบัติการก็ยังได้รับไม่ครบ ข้อมูลสูญหาย ทำให้สถานะของผู้ปฎิบัติการทุกวันนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน กลายเป็นผู้ไม่ได้รับการรับรองจากระบบทั้งๆ ที่อยู่ในระบบและปฏิบัติงานอยู่แล้ว แม้กระทั่งบัตรประจำตัวหรือหลักสูตรเรียนในปี 2557 แต่ปัจจุบันหมดอายุแล้วก็ยังไม่ได้รับการต่ออายุ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าจะไม่เกิดปัญหาอีก

“หรือเรื่องหน่วยฝึกอบรมระดับ EMR มีอยู่แค่ 200 กว่าหน่วยจาก 1,000 โรงพยาบาลที่มีศักยภาพที่จะฝึกอบรมได้ ทำไมไม่รับรองให้ครบ ให้เขาฝึกอบรมได้ ทำไมไม่ตั้ง road map เลยว่าให้มีการอัพเกรด EMR ภายใน 3 ปี 5 ปี ก็ประกาศเลย ที่ว่าคุยกับกระทรวงสาธารณสุข ถามว่าถ้าทำได้ก็ประกาศให้ชัดไปเลยสิว่าภายในสิ้นปีนี้จะรับรองโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศให้ฝึกอบรม EMR ได้ ทำไมไม่พูดให้ชัด ไม่ใช่บอกว่ากำลังคุยกันอยู่” นายพิสิษฐ์ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘หมออัจฉริยะ’ แจงประกาศ สพฉ.หน่วยกู้ชีพเดิมยังทำงานต่อไปได้

‘หมออัจฉริยะ’ แจงปมกู้ชีพค้านประกาศ สพฉ. ชี้สีรถเพื่อความปลอดภัย ไม่ได้เอื้อบริษัทใด