ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

บอร์ด สปสช.ภาคประชาชน เผยไทยมีปัญหาไม่มีวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกที่ต้องฉีดให้แก่เด็กนักเรียนหญิงชั้น ป.5 เนื่องจากบริษัทวัคซีนจัดหาให้ไม่ทัน ตั้งข้อสังเกต สธ.และ อภ.ถูกบริษัทผลิตวัคซีนหลอกหรือเต็มใจให้หลอก

นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561 นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้โพสต์ Facebook ส่วนตัว กล่าวถึงปัญหาการจัดหาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีน HPV ของไทยที่อาจจะไม่สามารถจัดซื้อได้ โดยระบุว่าเนื่องจากปัญหาทางนโยบายที่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขของไทยถูกบริษัทวัคซีนหลอกหรือไม่ก็เต็มใจให้หลอก

สถานการณ์ของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและองค์การเภสัชกรรมกำลังตกที่นั่งลำบากในการหาวัคซีน HPV หรือ วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมาฉีดให้กับเด็กหญิงชั้น ป.5 ซึ่งเพิ่งประกาศเป็นวัคซีนใหม่ในบัญชียาหลักแห่งชาติเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมาและเพิ่งฉีดให้เด็กกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศได้เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าถึงวันนี้ทำท่าว่าจะไม่มีวัคซีนดังกล่าวฉีดให้กับเด็กไทยตามที่สัญญาแล้ว หลายคนคงสังสัย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เป็นเหตุสุดวิสัยหรือปัญหาการบริหารจัดการขององค์การเภสัชกรรมในฐานะผู้ได้รับมอบหมายให้จัดหาวัคซีนนี้ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข หากจะขุดคุ้ยกันจริงๆ ต้องสรุปว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นปัญหาทางนโยบายที่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขของไทยถูกบริษัทวัคซีนหลอกหรือไม่ก็เต็มใจให้หลอก

กล่าวคือวัคซีนดังกล่าว มีผู้จำหน่าย 2 บริษัทและคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติได้ทำการต่อรองราคา โดยให้บริษัทวัคซีนทั้ง 2 มาเสนอราคาแข่งขันกันอย่างโปร่งใส ปรากฏว่าทั้ง 2 บริษัทเสนอราคามาใกล้เคียงกันมาก ทำให้คณะอนุกรรมการบัญชียาพิจารณาว่าวัคซีนของบริษัทที่มี 4 สายพันธุ์คือป้องกันได้ทั้งมะเร็งปากมดลูกและโรคหูดหงอนไก่มีความเหมาะสมกว่าสำหรับนำมาใช้ในประเทศไทย และตรงกับแนวโน้มของโลกที่ประเทศอื่นๆหันมาใช้วัคซีนของบริษัทนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ หลังจากมีการประกาศเรื่องวัคซีน 4 สายพันธุ์ในบัญชียาหลักแห่งชาติได้ไม่นาน ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขกลับมาล้วงลูกขอให้พิจารณาเพิ่มวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์เพิ่มเข้าไปในบัญชียาอีก โดยอ้างว่าบริษัทนี้เสนอราคาใหม่ซึ่งถูกลงไปกว่าเดิมอีก

ตอนแรกก็มีการทักท้วงจากคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติว่าไม่เหมาะสม เพราะได้เปิดให้ทั้ง 2 บริษัทแข่งขันกันอย่างโปร่งใสแล้ว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต เพราะบริษัทที่แพ้ในการต่อรองราคาจะมาวิ่งเต้นเสนอราคายาหรือวัคซีนใหม่อีกเรื่อยไปไม่จบสิ้น การต่อรองราคาที่ทำกันมาหลายปี ประหยัดเงินประเทศไปได้หลายหมื่นล้านบาทจะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพราะต้องไปสู้กันหลังฉากอีก แต่ที่สุดก็มีการประกาศเพิ่มวัคซีนชนิด 2 สายพันธ์เข้าไปจนได้

ผ่านมา 1 ปีเพิ่งถึงบางอ้อ เพราะวันนี้บริษัทวัคซีนชนิด 2 สายพันธ์ประกาศแล้วว่า ไม่สามารถจัดหาวัคซีนให้กับประเทศไทยได้ คาดว่า วัคซีนที่นำมาขายในปีที่แล้วคงเป็นวัคซีนเก่าที่เหลือมาจากประเทศอื่นๆ ที่ยกเลิกใช้วัคซีนนี้ ประกอบกับบริษัทวัคซีนนี้ทำท่าว่าจะไม่ผลิตเพิ่มอีกต่อไปเพราะกำลังตกตลาดโลก อาจเรียกว่าจะลอยแพเด็กไทยเพราะขายของเก่าได้หมดสมใจแล้ว

ขณะที่บริษัทที่จำหน่ายวัคซีนชนิด 4 สายพันธ์ก็บอกว่าไม่สามารถหาวัคซีนให้เด็กไทยได้เช่นกันเพราะรัฐบาลไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เพิ่งมาบอกในนาทีสุดท้ายหลังจากสิ้นหวังกับบริษัทที่ขายวัคซีน 2 สายพันธุ์

ตอนนี้เลยวิ่งกันวุ่น เพราะหากไม่มีวัคซีนจริงๆ จะกลายเป็นเรื่องขำขันระดับโลกว่า ไทยฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกปีเว้นปี

งานนี้รัฐบาลไทยถูกบริษัทวัคซีนหลอกหรือจะเต็มใจให้หลอกก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คงไม่มีใครออกมารับผิดชอบ ทั้งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีความผิดทางกฏหมายเพราะประกาศให้วัคซีนนี้เป็นสิทธิประโยชน์แล้วแต่กลับไม่สามารถดำเนินการได้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีปัญหาการจัดหาวัคซีนเอชพีวีนี้ เมื่อกลางปี 2560 อธิบดีกรมควบคุมโรคในขณะนั้น ดูข่าว ที่นี่ ได้กล่าวถึงการจัดซื้อวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกครั้งนี้ ได้มีผู้ขายเสนอราคา 2 รายและสามารถต่อรองราคาเหลือ 279.537 บาทต่อโด๊ส ซึ่งเป็นราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รวมค่าจัดส่งวัคซีนแล้ว ช่วยให้กระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ประหยัดงบประมาณในจัดหาวัคซีนรวมกว่า 36.8 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาที่คณะทำงานต่อรองราคาภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติได้ต่อรองวัคซีนเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ 375.48 บาทต่อโด๊ส ซึ่งหวังผลป้องกันมะเร็งปากมดลูกในสตรี ในการดำเนินการได้คำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สปสช.ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่ขาดช่วง จัดส่งทันตามแผนการฉีด มิ.ย.-ส.ค.61

สธ.ยืนยันวัคซีนมะเร็งปากมดลูกทั้ง 2 ชนิด ประสิทธิภาพป้องกันโรคไม่ต่างกัน