ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมสุขภาพจิต ออกข้อชี้แนะผู้ปกครอง สื่อ และคนรอบข้าง ในการร่วมกันดูแลฟื้นฟูสภาพจิตใจและสังคมของทีมหมูป่าอะคาเดมีและโค้ชหลังออกจาก รพ. ป้องกันผลกระทบทางจิตใจระลอก 2 ระบุนำทีมหมูป่าออกรายการอาจส่งผลลบ การสัมภาษณ์ควรมีให้น้อยที่สุด เลี่ยงถามชี้นำ ถามซ้ำๆ ถามเชิงตำหนิ ควรเป็นคำถามปลายเปิดเชิงบวก เพื่อให้กลับเข้าสู่การใช้ชีวิตตามปกติให้เร็วที่สุดโดยให้คำนึงถึงสิทธิเด็ก ความปลอดภัย ความพร้อมและข้อควรระวัง ปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน

นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์

นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมการดูแลจิตใจของทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมีและโค้ช หลังจากออกจาก รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ไปพักฟื้นที่บ้านว่า กรมสุขภาพจิตมีความเป็นห่วงในช่วงนี้ ซึ่งอยู่ในระยะของการฟื้นฟูสภาพจิตใจและสังคมให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติให้เร็วที่สุด ประเด็นสำคัญคือ การป้องกันผลกระทบทางจิตใจของเด็กและโค้ชระลอก 2 หลังจากที่ผ่านพ้นการเผชิญวิกฤติความเครียดแล้ว จึงได้จัดทำคำแนะนำ ข้อควรระมัดระวังในการถามเด็ก และข้อเสนอแนะในเชิงจิตวิทยา ซึ่งสอดคล้องกับหลักสากล 2 ประการ เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ปกครอง สื่อมวลชนต่างๆ และคนรอบข้าง ใช้ปฏิบัติเป็นแนวเดียวกัน โดยคำนึงถึงสิทธิของเด็ก ความปลอดภัย และความพร้อม ดังนี้

1. หลังจากเด็กๆ และโค้ชฟื้นตัวจากการฟื้นฟูทางร่างกาย ควรจะปฏิบัติต่อทุกคนเทียบเท่ากับเป็นผู้ประสบภัย ซึ่งตามแนวทางการดูแลและคุ้มครองเด็กที่เป็นผู้ประสบภัยขององค์การอนามัยโลก และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) เน้นว่าทุกคนมีหน้าที่ในการช่วยกันคุ้มครองสิทธิและคำนึงถึงความปลอดภัยทั้งทางกายและจิตใจของเด็กเป็นสูงสุดในช่วงเวลาการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์ โดยเน้นการให้เวลา ให้พื้นที่ความเป็นส่วนตัวเพื่อให้เด็กกลับเข้าสู่สภาวะการใช้ชีวิตตามปกติให้เร็วที่สุด จะช่วยให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูทางจิตใจและสังคมของเด็กที่ดีที่สุด การนำเด็กๆ และโค้ชมาออกรายการต่างๆ อาจกลายเป็นผลลบที่ส่งผลกระทบต่อเด็กๆ ได้ในหลายรูปแบบ

2. การสัมภาษณ์หรือออกข่าวเด็กๆ และโค้ช ควรคำนึงถึงความพร้อมของเด็กเป็นสำคัญ สื่อและคนรอบข้าง ควรคำนึงถึงประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิเด็ก โดยเฉพาะการถามเพื่อสร้างเรื่องราวให้ดูเหมือนเป็นละคร จะยิ่งทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจเชิงลบได้ เช่น การทำให้รู้สึกผิดเกินจริง การถูกเป็นเป้าสายตาในช่วงระยะหนึ่งและหายไปเมื่อกระแสข่าวซาลง ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็กในรูปแบบหนึ่ง

ด้าน พญ.รัชนี ฉลองเกื้อกูล ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวว่า การสัมภาษณ์เด็กควรมีน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้เด็กกลับไปใช้ชีวิตปกติของตนเองให้เร็วที่สุด ลักษณะคำถามที่ควรใช้คือ คำถามปลายเปิดและเป็นเชิงบวก ให้เด็กๆ ได้เล่าเรื่องราวเอง ตามความพร้อมของแต่ละบุคคล ให้เด็กได้ทบทวนและรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในความสามารถที่เด็กใช้ดูแลตัวเองและทีม ความเข้าใจต่อการช่วยเหลือของผู้ใหญ่ใจดีทั้งคนไทยและต่างชาติ

พญ.รัชนี กล่าวต่อว่า ข้อที่พึงระมัดระวังและหลีกเลี่ยงก็คือ การใช้คำถามชี้นำ การรุกเร้าจี้ถามซ้ำๆ เหมือนถามผู้ต้องหา คำถามเชิงตำหนิเรียกร้องความรับผิดชอบ เรียกร้องให้สัญญาในสิ่งที่เด็กไม่พร้อมทำหรือทำไม่ได้เพราะจะยิ่งทำให้เด็กรำลึกถึงเหตุการณ์ที่หวาดกลัวขณะอยู่ในถ้ำ เกิดความรู้สึกผิดที่เกินกว่าความเป็นจริง ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาการบุคลิกภาพของเด็ก การนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ เช่น ถอดบทเรียนการเอาตัวรอดจากเหตุภัยพิบัติ การวิเคราะห์ทักษะชีวิตที่จำเป็นสำหรับเด็ก มีประโยชน์มากกว่าการเสนอข่าวที่มุ่งเน้นการสร้างกระแสข่าว ตีความเอง หรือดราม่า เพราะอาจเป็นการทำร้ายจิตใจของเด็กนักฟุตบอลทีมหมูป่า โค้ช และครอบครัวซ้ำ และอาจทำให้ประชาชนที่ติดตามข่าวผูกโยงเหตุการณ์ชีวิตตนเองกับเหตุการณ์ภัยพิบัติจนส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของประชาชนได้