ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

จิตแพทย์ แนะวิธีป้องกันปัญหาหมดไฟทำงาน ผู้ที่ทำงานประจำหรือมนุษย์เงินเดือน ควรทำ 6 กิจกรรม และลด 4 พฤติกรรมเสี่ยง คือ ไม่หักโหมทำงานหนัก ไม่หอบงานไปทำต่อที่บ้าน ไม่ท่องโลกโซเซียลยามว่าง ไม่นำปัญหาในที่ทำงานกลับไปบ้าน เนื่องจากอาจทำให้เกิดความเครียดสะสม และเบียดบังเวลาพักผ่อน พร้อมแนะสังเกต6 สัญญานอาการส่อแววจะหมดไฟ โดยหากอึดอัดใจไม่สบายใจ สามารถรับบริการปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

นายแพทย์กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล( รพ.)จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา ให้สัมภาษณ์ว่า จากที่ประชุมองค์การอนามัยโลก ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2562 ได้มีมติให้ภาวะเมื่อยล้าหมดไฟ หรือที่เรียกว่าเบิร์นเอาท์ (Burnout) เป็นสภาพที่ต้องได้รับการรักษาในทางการแพทย์เป็นครั้งแรก โดยจะเริ่มประกาศใช้อย่างเป็นทางการทั่วโลกในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2565 นับว่าเป็นประเด็นปัญหาทางสุขภาพใจที่มักเกิดกับคนวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด และมีความสำคัญต่อการสร้างเศรษฐกิจครอบครัวและประเทศชาติ

นายแพทย์กิตต์กวี กล่าวว่า ภาวะเมื่อยล้าหมดไฟนั้น มักจะเกิดกับบุคคลที่สะสมความเครียดจากเรื่องต่างๆ ไว้มากเกินไป และไม่ได้รับการแก้ไขหรือปฏิบัติอย่างเหมาะสม สามารถส่งผลกระทบทั้งร่างกายคือ นอนไม่หลับ รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ประสิทธิภาพการทำงานถดถอยลง ส่วนผลกระทบทางอารมณ์จิตใจ บางคนอาจมีอารมณ์แปรปรวน รู้สึกสิ้นหวัง หงุดหงิด อาจถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกับคนรอบข้างได้ง่าย รวมทั้งบางคนอาจหาทางออกในทางที่ผิด เช่น สูบบุหรี่จัดขึ้น ดื่มหนักขึ้น หรือเที่ยวเตร่ ไปทำงานสาย เป็นต้น ผลการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าคนทำงานประมาณ 1 ใน 4 มีความเครียด โดยร้อยละ60 มีสาเหตุมาจากการทำงาน

ทางด้านแพทย์หญิงภรทิตา เลิศอมรวณิช จิตแพทย์ประจำ รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาเมื่อยล้าหมดไฟ สามารถป้องกันได้ ประการสำคัญที่สุดคือต้องเริ่มจากตัวเอง โดยมีคำแนะนำแนวทางที่ควรทำ 6 ประการ ดังนี้

1.ให้ยึดหลักสมดุลชีวิต แบ่งเวลาแต่ละวันออกเป็น 3 ส่วน คือทำงาน 8 ชั่วโมง นอนหลับพักผ่อนเพื่อซ่อมแซมร่างกายอย่างเพียง 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมง ใช้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจได้ทั้งส่วนตัว ครอบครัวหรือเพื่อนฝูง

2.ควรจัดลำดับงานสำคัญหรือเร่งด่วน

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน การออกกำลังกายจะทำให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข ช่วยสลายความเครียดได้อย่างดีและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น

4.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะประเภทผัก ผลไม้ ที่มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดี เช่น ผลไม้ที่ให้วิตามินซี เช่น ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม พืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เป็นต้น

5.พูดคุยสร้างอารมณ์ขันในหมู่เพื่อนร่วมงาน

และ 6.เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงาน ขอให้ปรึกษาเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน อย่าอาย เนื่องจากการปรึกษาจะช่วยให้เราคลายข้อคับข้องใจและหาทางออกได้เหมาะสมขึ้น

แพทย์หญิงภรทิตา กล่าวต่อไปว่า พฤติกรรมที่ควรเลี่ยง ลด ละ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดปัญหาหมดไฟทำงานง่ายขึ้น ที่สำคัญและใกล้ตัวมี 4 พฤติกรรม คือ 1.อย่าทำงานอย่างหักโหม เนื่องจากจะมีผลให้ร่างกายถูกใช้งานมาก เสื่อมโทรมเร็ว ภูมิต้านทานโรคจะลดลง 2.อย่าหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้าน 3.การใช้เวลาว่างท่องโลกโซเซียลต่างๆ และ 4.อย่านำปัญหาในที่ทำงานกลับไปบ้านหรือนำปัญหาจากบ้านไปที่ทำงาน เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้ จะทำให้สะสมความเครียด รวมทั้งเบียดเบียนเวลาในการพักผ่อนให้น้อยลงไปด้วย

สำหรับสัญญานของอาการที่ส่อแววว่าจะหมดไฟทำงาน ประชาชนสามารถสังเกตตัวเองได้ 6 ประการดังนี้ 1.มีความรู้สึกว่าชีวิตมีความสุขน้อยลง 2.อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา ไม่กระตือรือร้น เบื่อเซ็งไม่อยากตื่นไปทำงาน 3.ไม่มีสมาธิในการทำงาน 4.เริ่มมีทัศนคติไม่ดีต่องานที่ทำอยู่ หรือมองโลกในแง่ลบ รู้สึกว่าตัวเองด้อยความสามารถ 5.มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย 6.หาตัวช่วยเพื่อให้มีแรงทำงาน เช่นดื่มกาแฟ สูบบุหรี่จัดขึ้น เป็นต้น

หากมีอาการที่กล่าวมา อาจแก้ปัญหาโดยอาจลางานพักผ่อนสักระยะ จะช่วยผ่อนคลายและรู้สึกดีขึ้น แต่หากรู้สึกว่าชีวิตตัวเองยังไม่มีความสุข อึดอัดใจ หรือเกิดอาการวิตกกังวลบ่อยๆ สามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง