ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.เผยผลตรวจผู้สัมผัส “ปู่-ย่า”เที่ยว ฮอกไกโด ป่วยโควิด-19 เป็นลบ 97 คน รอลุ้นผลอีก 4 คน เตือนสถานการณ์ในประเทศจากนี้หากจะระบาดอยู่ที่คนไทย ขอไม่จำเป็นอย่างเดินทาง ย้ำ นโยบายตรวจหาเชื้อก่อนป่วยไม่จำเป็น สิ้นเปลือง เพิ่มภาระ แถมไม่การันตีจะไม่เจอเชื้อในห้วง 14 วัน แนะหลังกลับจากประเทศระบาดให้สังเกตอาการ สวมหน้ากาก ล้างมือ แยกสำรับ สกัดการแพร่ระบาด หากเริ่มมีไข้-ไอ-เจ็บคอ สวมหน้ากากอนามัยรีบมาพบแพทย์ เผยข่าวดี รักษาผู้ป่วยหายอีก 3 ราย ยังเหลือรักษาใน รพ. 13 ราย

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 นพ.ณรงค์ สายวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่า ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สะสมในประเทศไทย อยู่ที่ 40 ราย วันนี้รักษาหายเพิ่มอีก 3 ราย เป็นนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาก่อนที่จีนจะปิดประเทศ 2 ราย และคนไทย 1 ราย รวมรักษาหายแล้ว 27 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในรพ.13 ราย ทั้งนี้อัตราการรักษาหายคิดเป็น 2 ใน 3 หรือ 67% ส่วนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวังสะสมตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.– 26 ก.พ.2,064 ราย กลับบ้านแล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,352 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาใน รพ. 712 ราย

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ผู้ป่วยที่เป็นแม่บ้านอายุ 31 ปี ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ แต่มีคนในครอบครัว 1 คนมาจากประเทศจีน นั้นได้ตรวจสอบผู้สัมผัสในครอบครัวทั้งหมดไม่พบเชื้อ อย่างไรก็ตามในคนที่ไปจีนมานั้นเนื่องจากเก็บตัวอย่างเชื้อหลังพ้นระยะฟักตัว 14 วันแล้วจึงตรวจไม่พบ แต่ก็มีประวัติว่ามีอาการเล็กน้อย สำหรับผู้ป่วยเคสปู่ ย่า ที่กลับจากฮอกไกโด และหลานอายุ 8 ขวบ ขณะนี้อาการดี ติดตามผู้สัมผัสซึ่งเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คนในครอบครัวอื่น นักเรียนร่วมชั้นเรียน บุคลากรการแพทย์จาก รพ.เอกชนแห่งแรก รวมทั้งหมด 101 คน ผลออกแล้ว 97 คน เป็นลบ ส่วนอีก 4 คน เพิ่งเก็บตัวอย่างตรวจยังต้องรอผล ดังนั้นการติดเชื้อในไทยอยู่ในวงจำกัดหรือระยะ 2 ส่วนประชาชนแถบดอนเมือง หรือในจังหวัดที่มีคนโดยสารบนเครื่องบินกับเคสผู้ป่วยปู่ ย่า กังวลว่าเสี่ยงแพร่เชื้อในพื้นที่หรือไม่นั้น ขอชี้แจงว่า ธรรมชาติของเชื้อจะติดต่อผ่านละอองขนาดใหญ่ รัศมีประมาณ 1 เมตร อยู่ร่วมกันอย่างน้อย 5 นาที คนเสี่ยงคือคนในครอบครัว ส่วนคนที่อยู่ไกล เช่น ข้างบ้าน หรือในชุมชน ไม่ติดแน่ ๆ

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่มีหลายบริษัทมีนโยบายให้พนักงานที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศไปตรวจหาไวรัสโคโรนา2019 นั้นต้องไม่จำเป็น เพราะโรคนี้มีระยะฟักตัว 14 วัน ไม่ใช่ว่าติดเชื้อแล้วจะป่วยเลย หากยังไม่มีอาการไป ตรวจก็ไม่เจอ ซึ่งแม้ว่าวันนี้จะไม่เจอแต่ในระยะ 14 วัน หากมีอาการไปตรวจในภายหลังอาจจะเจอก็ได้ การไปตรวจก่อนมีอาการถือว่าไม่คุ้มค่า ไม่สามารถบอกได้ว่าจะไม่ติดเชื้อฯ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระให้สถานพยาบาลโดยไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นคำแนะนำคือคนที่เดินทางกลับมาจากประเทศเสี่ยง ขอให้เฝ้าระวังอาการตัวเองสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ แยกสำรับอาหาร ทั้งนี้ เพื่อตัดโอการการแพร่เชื้อที่อาจจะมีในระยะต่อมา และหากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ ให้สวมหน้า กากอนามัย พกเจลล้างมือและรีบไฟพบแพทย์แจ้งประวัติการเดินทางตามความจริง

“วันนี้ความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดในประเทศไทยจะอยู่ที่คนไทยเอง เพราะช่วงนี้ใกล้ซัมเมอร์ คนก็อยากไปเที่ยวต่างประเทศ ในขณะที่คนจีน เกาหลี ญี่ปุ่น คนจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนั้นไม่ค่อยได้มาเมืองไทยแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรที่คนไทยจะไม่ไปเอาเชื้อกลับมาแพร่ในประเทศ เพราะเคสหลัง ๆ ที่เจอก็เป็นไทยที่ไปเที่ยวต่างประเทศมา จึงขอว่าหากไม่จำเป็นขอให้เลี่ยงการเดินทางไปประเทศที่มีการระบาดของไวรัสโคโรนา2019” นพ.โสภณ กล่าว

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ได้ลงนามในประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 แล้ว อยู่ในขั้นตอนส่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งตามกฎหมายประชาชน สถานพยาบาล สถานประกอบการ มีหน้าที่ต้องแจ้งหากมีผู้ต้องสงสัย หรือผู้ป่วยโรคอันตรายให้เจ้าพนักงานทราบตามความเป็นจริง เช่น ประวัติการเดินทาง หากไม่แจ้งจะมีโทษปรับ 2 หมื่นบาท ทั้งนี้การแจ้งตามความจริงจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาถูกกับอาการและสร้างความปลอดภัยให้คนอื่น

ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องจากมีประชาชนสอบถามเข้ามาที่สายด่วน 1422 แค่วันที่ 26 ก.พ. มากถึง 1,300 สาย สายแทบไม้ ดังนั้นกระทรวงจึงเปิดช่องทางการติดต่อเพิ่มเติมคือ ที่แชทบอทชื่อ “คร.OK” หรือ ออฟฟิสเชียลไลน์ ชื่อ “รู้กันทันโรค”อย่างไรก็ตาม ในฐานะจิตแพทย์กล่าวว่า ขณะนี้พบปรากฏการณ์โซเชียลมีเดียใส่ระบายอารมณ์กับสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด เมื่อเกิดแล้วต้องให้กำลังใจกัน ในอดีตเคยมีการแบ่งแยก กีดกันผู้ติดเชื้อ HIV ทำให้ไม่มีที่ยืน ซึ่งไม่เป็นผลดี กระทบจิตใจพอจิตใจไม่ดี ร่างกายไม่ดีตาม เพราะฉะนั้นคนไทยด้วยกันต้องดูแลกัน ขนาดคนต่างชาติมาป่วยในไทยเรายังดูแลอย่างดี

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีมีรายงานมีผู้ต้องสงสัยเฝ้าระวังโรคหลบหนีระหว่างการส่งตรวจ ซึ่งผลตรวจออกมาเป็นลบ ว่า เรื่องนี้ต้องตรวจสอบต่อ แต่ขอย้ำว่าไวรัสโคโรนารักษาได้ ไม่ใช่โรคน่าเกลียด น่ากลัว อัตราการเสียชีวิตต่ำที่ประมาณ 3% ดังนั้นขอให้มาให้เร็ว ซึ่งการรักษาก็ฟรี เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่ต้องหลบหนีออกจากรพ. ส่วนเรื่องข่าวลือข่าวลวงมักเกิดขึ้นมากในช่วงที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือโรคระบาด โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียจะไปไวมากไม่มีใครคุมได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข และสื่อหลัก