ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กทม.พร้อมอนุมัติ “กองทุนหลักประกันสุขภาพฯ” หลังสรรหาอนุกรรมการครบ 50 เขต เปิดทางงบประมาณค้างท่อนาน 3 ปี รวม 1.7 พันล้านบาท ใช้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพประชาชน ล่าสุดใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จัดซื้อหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ แจกจ่ายให้ประชาชน

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุด ของกองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร ว่าปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ระดับเขต ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาคราชการ รวมทั้งสิ้น 50 เขตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะเดินหน้าในการใช้จ่ายเงินเพื่อพัฒนาสุขภาพของคน กทม.

สำหรับกองทุนฯ ดังกล่าว เป็นการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หัวละ 45 บาทต่อประชากร ร่วมกับเงินสมทบจากกรุงเทพมหานครไม่น้อยกว่า 60% เพื่อนำมาใช้จ่ายในการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่ดำเนินการในชุมชน รวมงบประมาณปีละ 590 ล้านบาท ซึ่งเริ่มต้นในปี 2561 จนถึงปัจจุบันปี 2563 มีเงินในกองทุนรวมแล้วทั้งสิ้นกว่า 1.7 พันล้านบาท

นพ.พรเทพ ระบุว่า ความล่าช้าที่ทำให้เงินประสบภาวะค้างท่อที่ผ่านมา เป็นเพราะการใช้ระยะเวลาในการสรรหาคณะกรรมการฯ รวมถึงเรื่องของการออกกฎระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณ โดยกำหนดว่าสามารถนำเงินไปใช้อย่างไรได้บ้าง ซึ่ง กทม. เป็นหน่วยราชการที่มีขนาดใหญ่ การวางระบบกติกาจึงต้องเป็นไปด้วยความละเอียดรอบคอบ ป้องกันเงินรั่วไหล และไม่ทำให้เจ้าหน้าเสี่ยงติดคุก

ทั้งนี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติในการเสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณ จะต้องเป็นนิติบุคคล เช่น ชมรม มูลนิธิ สมาคม หรือกลุ่มบุคคลเกิน 5 คนที่กรุงเทพมหานครยอมรับ เช่น คณะกรรมการชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการของบประมาณเพื่อดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพของประชาชน โดยต้องสามารถนำเงินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เป็นการใช้เพื่อซื้ออุปกรณ์หรือครุภัณฑ์

"ตัวโครงการจะถูกประเมินคณะอนุกรรมการในแต่ละเขต เพื่อพิจารณาอนุมัติงบโครงการละไม่เกิน 5 หมื่นบาท สามารถนำไปทำกิจกรรม เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ป้องกันอุบัติเหตุท้องถนน จ้างครูพี่เลี้ยงในศูนย์เด็กเล็ก หรือจัดหา care giver ดูแลผู้สูงอายุติดเตียงตามบ้าน เป็นต้น ส่วนถ้าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณสูง ก็จะถูกส่งมาพิจารณาในคณะกรรมการระดับ กทม. ซึ่งมีผู้ว่าฯ เป็นประธาน" นพ.พรเทพ อธิบาย

นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า เงินกองทุนฯ ยังสามารถนำมาใช้ได้ 2 รูปแบบ คือ หยุดยั้งการระบาดของภัยที่เป็นภาวะคุกคามด้านสุขภาพ หรือใช้เพื่อให้การดำเนินงานด้านสุขภาพในชุมชนมีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งล่าสุดกองทุนฯ ได้ถูกเริ่มใช้ในช่วงของภาวะวิกฤติ การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยนำมาจัดซื้อหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชน

"ที่่ผ่านมางบประมาณของภาคราชการอาจใช้ไปตกหล่นบ้าง ไม่มีประสิทธิภาพบ้าง แต่หากนำมาส่งเสริมกิจกรรมที่ริเริ่มโดยชุมชน ทำให้ชาวบ้านมีความเข้มแข็ง เงินทองก็จะไม่รั่วไหลและเกิดความยั่งยืน ซึ่งคาดหวังว่ากองทุนนี้จะทำให้ชาวบ้านได้มีงบประมาณ ที่จะนำมาดูแลสุขภาพตนเองได้โดยที่ไม่ต้องควักจ่ายเอง และหากทำได้ดีก็จะช่วยให้สถานการณ์โรคไม่ติดต่อ อุบัติเหตุ ภาวะติดเตียง หรือปัญหาต่างๆ เบาลง" นพ.พรเทพ ระบุ