ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (ซีดีซี) เผยว่าบุคลากรทางการแพทย์ของสหรัฐติดไวรัสโคโรนา 2019 แล้วอย่างน้อย 9,282 คนและเสียชีวิตแล้ว 27 รายนับถึงวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีกภายหลังปรับปรุงข้อมูลสถานะด้านอาชีพของผู้ป่วย

ซีดีซีเตือนว่าตัวเลขที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้เนื่องจากความลักลั่นของการรวบรวมข้อมูลและปัญหาข้อมูลไม่เพียงพอระหว่างการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาที่มีข้อมูลสถานะอาชีพมีเพียงร้อยละ 16 เท่านั้น

บุคลากรทางการแพทย์เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่สุดระหว่างการระบาดใหญ่ครั้งนี้เนื่องจากเป็นด่านหน้าที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ และสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่เมื่อหลายคนต้องปฏิบัติงานท่ามกลางปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์และชุดป้องกัน

รายงานชี้ว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการอาจไม่ได้รับการตรวจไวรัสเลยด้วยซ้ำ

ตัวเลขบุคลากรทางการแพทย์ทั้ง 9,282 รายข้างต้นเป็นเพียงร้อยละ 3 ของจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมดที่ซีดีซีได้รับรายงานระหว่างวันที่ 12 กุมภาพันธ์ถึง 9 เมษายนที่ผ่านมา และว่าอัตราการติดเชื้อในหมู่บุคลากรทางการแพทย์พุ่งขึ้นไปที่ร้อยละ 11 ในกลุ่มรัฐที่มีการจัดเก็บข้อมูลสถานะอาชีพของผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศ.นพ.ชาร์ลส์ บรานาส ประธานภาควิชาระบาดวิทยามหาวิทยาลัยโคลัมเบียเปิดเผยว่า การตกหล่นข้อมูลสถานะอาชีพของผู้ป่วยพบเห็นได้เสมอในการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ดีตัวเลขที่ไม่สมบูรณ์นี้ก็เพียงพอที่จะชี้ให้เห็นแนวโน้มของสถานการณ์และเป็นจุดเริ่มต้นให้นักวิจัยหันมาหารือกัน

“โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ครับ” ศ.นพ.บรานาสกล่าว

รายงานยังชี้ว่าจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่ตรวจพบเชื้อและเสียชีวิตจาก Covid-19 มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกจากจำนวนผู้ป่วยที่สูงขึ้น

“จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำทุกวิธีทางเพื่อรับประกันสุขภาพและความปลอดภัยทั้งในที่ทำงานและชุมชนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ราว 18 ล้านคนผู้เป็นกำลังสำคัญในวิกฤติครั้งนี้” ซีดีซีย้ำ

ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐเปิดเผยว่าโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วสหรัฐกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อซึ่งส่งผลให้ “บุคลากรตกอยู่ในสภาพหวาดกลัวและไร้ที่พึ่ง”

แปลและเรียบเรียงโดย หฤทัย เกียรติพรพานิช

แหล่งที่มา

C.D.C. Says More Than 9,000 Health Care Workers Have Contracted Coronavirus (www.nytimes.com)