ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สสส.จัดเสวนาทิศทางไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ด้านแพทย์ระบาดวิทยาเผย​รูปแบบของการระบาดต่อจากนี้เกิดจากภายนอกเข้าไทย ส่วนการติดเชื้อในประเทศเป็นแบบวงจำกัดแบบกลุ่มก้อน ยังจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและการควบคุม

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.​ ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา ทิศทางประเทศไทย : ฝ่าวิกฤตโควิด-19 สู่ชีวิตวิถีใหม่ โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญครอบคลุมทุกมิติทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข และสุขภาพ มาร่วมเสวนาเปิดมุมมองแนวทางการพัฒนาประเทศไทยภายหลังวิกฤตโควิด-19 โดยสามารถรับชมการเสวนาผ่าน Live ทาง FB : สสส. : ThaiHealth

โดย พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ กล่าวผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ถึงแนวทางการปฏิบัติตัวของประชาชนในช่วงการระบาดของโควิด-19 ว่า การรักษาใจสำคัญไม่แพ้กับการรักษากาย การใช้ชีวิตวิถีใหม่ช่วงยุคโควิด-19 มีหลักปฏิบัติ 4 ข้อที่ช่วยทุกคนได้ คือ 1.ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น​ ตระหนักว่าความเครียด วิตก กลัว ทำร้ายจิตใจ 2.พยายามอย่าอยู่นิ่ง หากิจกรรมทำคลายเครียด 3.ทำประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่น ผลิตหน้ากากผ้าแบ่งปันตามกำลังที่พอทำได้ 4.ปรับตัว หาช่องทางเพิ่มรายได้ เช่น การขายผ่านออนไลน์ อย่างไรก็ตาม วัดเป็นสถานที่พึ่งพิงของประชาชน ในช่วงวิกฤตมีการช่วยเหลือด้านปัจจัย 4 อาหาร และเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจโดยใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นพลังทางใจให้ประชาชนผ่านวิกฤตไปได้

นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์

นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เฉพาะการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และอดีตนายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรมป้องกัน สาขาระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 4 ล้านคนทั่วโลก สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล คาดว่าจะกินเวลา 12-18 เดือนเป็นอย่างน้อย จนกว่าจะมีวัคซีนและ ภูมิต้านทานธรรมชาติ ​รูปแบบของการระบาดต่อจากนี้ จะเกิดได้จากภายนอกเข้ามาในประเทศ ส่วนการติดเชื้อในประเทศเป็นแบบวงจำกัดแบบกลุ่มก้อน หรือแบบวงกว้างก็ได้ จึงจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและการควบคุมตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ทั้งด้านสาธารณสุข สังคม และการล็อกดาวน์ ขณะที่การสร้าง บรรทัดฐานใหม่ New Normal จะต้องเปลี่ยนค่านิยมระยะยาว โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ก่อนความสนุก สะดวกสบาย โดยรัฐบาลจะลงทุนดูแลคนมากขึ้น เรื่องสุขภาพจะกลายเป็นวาระสำคัญของโลก

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า วงจรการเกิดโรคระบาดมี 3 ระยะ คือ 1.ระยะความกลัว กังวล เพราะยังไม่มีความรู้ ความเข้าใจ 2.ระยะการเรียนรู้ และ 3.ระยะเกิดพัฒนาการสู่การเปลี่ยนแปลง ที่นอกจากจะให้ความสำคัญเรื่องสุขอนามัยเพื่อป้องกันโควิด-19 แล้ว ยังนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อการป้องกันในอนาคตทั้งในระดับบุคคล สังคม/สิ่งแวดล้อม และเชิงระบบ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการป้องกันโรคระบาด โดยในระดับบุคคล เน้นรักษาความสะอาดร่างกาย การกิน การสวมหน้ากาก การเว้นระยะห่าง และยังต้องคำนึงถึงการทำให้สุขภาพกายและใจแข็งแรง ด้วยการลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า รวมถึงการมีกิจกรรมทางกาย การบริโภคอาหาร และพฤติกรรมเพื่อสุขภาพอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ นอกจากการใช้มาตรการเชิงนโยบายและการบังคับใช้ในช่วงเกิดการระบาดแล้ว ยังต้องเสริมด้วยกระบวนการสร้างค่านิยมวัฒนธรรมที่นำไปสู่การเห็นประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงในวิถีใหม่ของชีวิตด้วย อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการในการสร้างเสริมสุขภาพที่ สสส. ใช้อยู่ สามารถนำมาใช้ในการขับเคลื่อนนี้ได้ทันที

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์

“การขับเคลื่อนการสร้างชีวิตวิถีใหม่จะเชื่อมโยงปัจจัยและระบบสุขภาพ สังคม การศึกษา เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยรัฐและสังคมไทยต้องร่วมกันกำหนด “จุดหมาย” ของวิถีใหม่ที่เห็นพ้องกันว่าจำเป็นและเหมาะสม โดยอาจร่วมกับโลกในการเร่งการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ประชาคมโลกได้ลงปฏิญญาไว้แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและใช้กระบวนการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ในก้าวเบื้องต้นของการเดินทางไกลในขณะนี้ สสส. และภาคีเครือข่าย ได้จัดทำไกด์ไลน์แนวทางปฏิบัติการสร้างชีวิตวิถีใหม่แล้ว 7 คู่มือ ครอบคลุมประเด็นการใช้ชีวิตประจำวัน การป้องกันและเฝ้าระวังโรค มาตรการสำหรับโรงเรียน สถานศึกษา รวมถึงการจัดระเบียบสังคม การสร้างความเข้าใจเพื่อลดการตีตราผู้ป่วย โดยได้กระจายให้หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน และสถานศึกษา มากกว่า 1 แสนเล่ม ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ที่ www.thaihealth.or.th” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ กรรมการคณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมใน ศูนย์บริหารสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เปลี่ยนวิถีก่อค่าใช้จ่ายใหม่ คนไทยจะเกิดสติในการสร้างสุขภาพ ระวังการใช้จ่ายและเงินออม คนจะหันมาเรียนรู้ระบบออนไลน์ ถูกท้าทายจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ สิ่งที่ประชาชนต้องเตรียมพร้อมคือ การปรับแนวคิดของตนเองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก พัฒนาทักษะตนเอง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสุขภาพ

นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ไทยติดอันดับ 1 ใน 6 ประเทศที่มีแหล่งอาหารสำรองของโลก เพราะมีต้นทุนด้านเกษตรกรรมที่ดีอยู่แล้ว ผลกระทบจาก โควิด-19 ทำให้แรงงานกลับบ้านเกิดมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดโอกาสในการพัฒนาชุมชน สิ่งที่รัฐต้องเร่งทำคือ การแก้ปัญหาเช่นภัยแล้ง จัดสรรแหล่งน้ำ เพื่อให้ทำมาหากินได้ การปรับตัวหลังจากเกิดโควิด-19 รัฐควรเดินหน้านโยบายเกษตรยั่งยืนอย่างจริงจัง โดยนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ได้ ต้องให้ความสำคัญการฟื้นฟูที่ดินทำกิน ลดการใช้สารเคมี ทุกหมู่บ้านควรมีคลังพันธุ์พืชของตนเองไม่ต้องรอรัฐ และหาแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้ ไทยควรจัดตั้งองค์กรเกษตรกรเข้มแข็ง มีโรงเรียนเกษตรกร มีศูนย์ฝึกหมู่บ้าน เพื่อลดการพึ่งพาของรัฐ ส่วนสังคมเมืองควรปรับพื้นที่ที่จำกัดให้สามารถปลูกพืชผักที่สามารถนำมาพึ่งพาตัวเองได้ด้วย