ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คร.สอบสวนเชิงลึกเคสทหารอียิปต์ติดโควิด-19 ตรวจกล้องวงจรปิด โรงแรม-ห้างหาผู้สัมผัสใกล้ชิด ย้ำปชช.เดินทางที่สาธารณะขอให้ป้องกันตนเอง 

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) เปิดเผยว่า ทีมสอบสวนโรคกำลังเร่งดำเนินการค้นหาข้อมูลกรณีนายทหารอียิปต์ซึ่งเดินทางเข้ามาประเทศไทย และเข้าพักในสถานกักกันโรคฯ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ระหว่างนั้นมีการเดินทางไปต่างประเทศ และบางสถานที่ในจ.ระยอง ต่อมาในวันที่ 12 กรกฎาคม ผลการตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19

อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเร่งดำเนินการค้นหาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมที่คณะลูกเรือนี้เข้าพัก และสถานที่ที่คณะลูกเรือให้ข้อมูลว่าได้เดินทางไป เช่น ห้างสรรพสินค้า ใน จ.ระยอง อย่างไรก็ตามทางทีมสอบสวนโรคจะต้องเร่งหาใน 1.ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับคนกลุ่มนี้ 2.มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น หากประชาชนในพื้นที่ จ.ระยอง มีความกังวลหรือว่าคิดว่าตนเองเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับคนกลุ่มนี้ สามารถติดต่อได้ที่สาธารณสุขจังหวัดหรือเบอร์สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

“ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ว่าเป็นที่ใด และผู้ป่วยที่ยืนยันได้เดินทางไปด้วยหรือไม่ จึงต้องดูจากกล้องวงจรปิด อย่างไรก็ตามหากประชาชนเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะและสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือและเว้นระยะห่างก็จะเป็นการป้องกันโรคได้ในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นความสำคัญอย่างยิ่งในการลดโอกาสติดเชื้อ ในระหว่างนี้ขอให้ประชาชนใน จ.ระยอง มีการป้องกันตัวเองที่มาก ขึ้น และทีมสอบสวนกำลังเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดคาดว่า 2-3 วันจะทราบผล” นพ.สุวรรณชัย กล่าว

ทั้งนี้นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆศกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเมื่อวันที่ 13 กรกฏาคมว่า มีผู้ติดเชื้อใหม่ 3 ราย โดยหนึ่งในนั้นเดินทางมาจากอียิปต์ อายุ 43 ปี อาชีพทหาร เดินทางมาวันที่ 8 กรกฎาคม และเข้าพักในสถานกักกันโรคฯ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ออกจากโรงแรมไปทำภารกิจทางทหารที่ประเทศจีน และเวลาเกือบเที่ยงคืนของวันเดียวกันนั้น ได้บินกลับมาที่ประเทศไทยและได้เข้าพักในโรงแรมแห่งเดิม ผลตรวจเชื้อวันที่ 10 กรกฎาคมยังไม่ชัดเจน มีการตรวจซ้ำอีกครั้ง และวันที่ 11 กรกฎาคม ทหารอียิปต์นายนี้พร้อมคณะได้เดินทางกลับประเทศอียิปต์

โฆษกศบค.กล่าวว่า ผลการตรวจซ้ำออกมาเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม จึงนำมารายงานผลวันที่ 13 กรกฎาคม ประเด็นคือการสอบสวนโรคว่า ทหารรายนี้เดินทางเข้ามาในฐานะลูกเรือ(เครื่องบิน) ซึ่งตามข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 ฉบับที่ 6 ที่จะประกาศออกมาว่าจะมี 11 กลุ่ม ในการอนุญาตให้เข้ามาในประเทศไทย พบว่า กลุ่มที่เป็นลูกเรือ หรือ ผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ ที่จำเป็นต้องเข้ามาในภารกิจ หรือมีกำหนดเดินทางออกจากราชอาณาจักรที่ชัดเจน กลุ่มนี้เข้ามาได้ โดยจะมีการจัดที่พักให้ เดิมให้เป็นโรงแรงใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ

“แต่ทหารและลูกเรือชุดนี้ มีไทมไลน์คือ เดินทางมาจากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม เดินทางไปยังปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อสูง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมได้เดินทางมายังสนามบินอู่ตะเภา เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.ระยอง วันที่ 9 กรกฎาคม ออกจากโรงแรมไปยังสนามบินอู่ตะเภาและบินไปยังเมืองเฉินตู ประเทศจีน และกลับมาในวันเดียวกัน เข้าพักในโรงแรมเดิน จ.ระยอง วันที่ 10 กรกฎาคม ได้เข้าตรงจหาเชื้อทั้งคณะ ทั้ง 30 ราย และวันที่ 11 กรกฎาคมได้เดินทางกลับอียิปต์ แต่ในวันนั้นผลออกมายังกำกวม จึงได้ส่งตรวจซ้ำอีกครั้ง ผลออกมาวันที่ 12 และรายงานวันที่ 13 กรกฎาคม” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า วันนี้ที่ประชุม ศบค.มีการพูดคุยกันว่า 1.ถึงแม้จะเป็นลูกเรือและเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในลักษณะเฉพาะและกำหนดในเข้าพักในโรงแรมที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ครั้งนี้เข้าพักในโรงแรมใกล้สนามบินอู่ตะเภา และถือว่าโรงแรมแห่งนี้เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้พบเชื้อ จึงต้องมีมาตรการเข้าไปสอบสวนโรคจะต้องครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด โดยทาง นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้รับข้อสั่งการจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ออกมาตรการให้คุมเข้มเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นตรวจสอบอย่างละเอียด ถึงแม้ผู้ป่วยยืนยันจะกลับประเทศไปแล้ว 2.เนื่องจากยังไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยันคนกลุ่มนี้อย่างดี พบว่า ทีมลูกเรือนี้ได้ออกจากโรงแรมไปยังสถานที่บางแห่งใน จ.ระยอง ทำให้ทีมสอบสวนโรคจะเข้าไปสอบสวนโรคในสถานที่ต่างๆที่เป็นสถานที่สัมผัสทุกแห่งที่คนกลุ่มนี้เดินทางไป

“ตอนนี้มีข้อมูลว่า มีห้างสรรพสินค้าใน จ.ระยอง อยากเรียนประชาชนใน จ.ระยอง ทราบว่า ศบค.ไม่มีการปกปิด โดยทางสำนักควบคุมโรคเขตสุขภาพ(สคร.) จะเข้าไปร่วมกับทีมส่วนกลาง เข้าไปสอบสวนโรคเพื่อความปลอดภัยของประชาชน หากท่านที่คิดว่าตัวเองเสี่ยงหรือสัมผัส ก็ให้โทรมาที่ 1422 ซึ่งจะทำให้เราปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น และควบคุมโรคได้ดีขึ้น” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว