ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ตั้งแต่ปี 2551 ในตำแหน่งสาวสวยที่สุดในประเทศคนที่ 44 เวทีนางสาวไทย รอยยิ้มและความสดใส ของหมอบุ๋ม  พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ช่วยมาเยียวยาสถานการณ์ตึงเครียดในการแถลงสถานการณ์โควิดประจำวัน ในฐานะผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้ดูสดใสเหมือนรอยยิ้มของเธอ

นอกจากยอดผู้ติดเชื้อในแต่ละวัน สิ่งหนึ่งที่สังคมยิงสปอตไลท์ไปจับจ้องเธอ คงหนีไม่พ้นว่า วันนี้เธอจะมาในลุคไหน...

ทีมงาน Hfocus ได้มีโอกาสพูดคุยกับที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข ในฐานะหมวกอีกใบคือ ผู้ช่วยศบค. แบบเป็นกันเอง ไลฟ์สไตล์ทั้ง Everyday Look และการดูแลสุขภาพรวมถึงความงามที่หลายคนอยากรู้เคล็ดลับ 

เริ่มกันตั้งแต่ลุคแต่งตัวของเธอกันเลย หมอบุ๋มออกตัวก่อนว่า เป็นคนชอบสีสว่างๆ และสไตล์หวานๆ ดังนั้นจะเห็นเธอในลุคของสีพาสเทล สีขาว เหลือง ฟ้า ชมพู 

จนเพื่อนๆสมัยเรียนมักนิยามการแต่งตัวสไตล์นี้ว่า “สไตล์บุ๊มบุ๋ม” ที่ไม่เหมือนใคร เป็นตัวของตัวเองและแบบที่ตัวเองชอบเท่านั้น

ลุคของหมอบุ๋ม แบ่งออกเป็น 3 ลุค ได้แก่ ลุคแถลงข่าว , ลุควันทำงาน และลุคลำลองไปเที่ยวพักผ่อน

 

ลุคแถลงข่าว สีขาวยังไงก็มา

      คอนเซปต้องทางการ สุภาพ แต่สีสว่าง พาสเทล โดยเฉพาะสีขาว คุณหมอบอกว่า ใส่ยังไงก็รอด จะช่วยเพิ่มความไบร์ทให้ใสกิ๊งๆยิ่งขึ้น 

       POEM แบรนด์ยืนหนึ่งในดวงใจ ที่ตอนนี้ไปจัด โดยรบกวนให้พี่ฌอน ชวนล ไคสิริ ดีไซเนอร์แห่ง POEM ตัดให้พอดีไซส์มา 7 ชุดแล้ว รองๆมาก็เป็นแบรนด์ ASAVA ของพี่หมู พลพัฒน์ อัศวะประภา

      “ชุดวันแถลงข่าว ที่หลายคนทักว่า ไม่ซ้ำกันเลย ก็จริงนะคะ แต่แค่ตอนนี้ยังไม่ซ้ำกันเฉยๆ เดี๋ยวจะเริ่มซ้ำแล้วค่ะ”

      อย่างชุดนี้ของหมอบุ๋ม อาจไม่ใช่แบรนด์ของ ASAVA แต่แจ็คเกตสูทเป็นของ MASSIMO DUTTI กับเดรสข้างในเป็นงานผ้าไทย มาในลุครัดผม เพื่อความเรียบร้อยและดูทะมัดทะแม่งด้วยโบว์ของ DIOR ตามเทรนด์

 

ลุควันทำงานสุภาพ แต่แฝงดีไซน์

       คุณหมอบอกว่า คอนเซปก็คือ เป็นทางการ สุภาพ แต่มีแฝงกลิ่นอายงานดีไซน์ไว้ให้ดูเก๋ เพราะว่าต้องใส่ไปทำงานที่คลินิก และช่วงหลังก็ต้องมากระทรวงสาธารณสุขด้วย

      แบรนด์ยืนหนึ่งในใจซึ่งน่าจะเหมือนสาวๆหลายคนนั่นคือ แบรนด์ของพี่หมู ASAVA นั่นเอง เพราะว่าไซส์พอดีตัวเลย ไม่ต้องสั่งตัด ใส่แล้วดูเนี๊ยบ และคัตติ้งการตัดเย็บดีมากจึงชอบ 

      อย่างชุดนี้อาจไม่ใช่ ASAVA แต่เป็นชุดของ D&G คุณหมอเล่าว่า แม้สีจะไม่ใช่โทนสว่าง หรือพาสเทลที่ชอบ แต่ความหวานของดอกกุหลาบก็ทำให้ถูกชะตาต้องสอยน้องกลับบ้านเข้าสู่ตู้เสื้อผ้าได้เหมือนกัน

 

ลุคลำลองพลิ้วไหว สไตล์หวานๆ

      เจ้าของฉายาที่สื่อยกให้เป็น นางงามโควิด เล่าให้ฟังว่า ส่วนใหญ่เป็นเดรส เพราะไม่มั่นใจกับการใส่กางเกง ดังนั้นจึงไม่เคยเธอใส่ยีนส์หรือกางเกงผ้าเลย จะออกงานลงพื้นที่ที่จำเป็นใส่ที ก็ต้องหาซื้อกันใหม่ เพราะไม่ในตู้เสื้อผ้าจริงๆ

      แบรนด์หวานๆ แต่มีสุดชิคอย่าง DISAYA ของ ดิษยา สรไกรกิติกูล ดีไซเนอร์ไทยที่โกอินเตอร์จนดาราระดับโลกสวมใส่ โดยเสื้อผ้าเน้นความพลิ้วไหว หรูหรา พร้อมความน่ารัก แต่ใส่ได้ในชีวิตประจำวัน 

      อีกแบรนด์ในดวงใจที่ใส่ประจำคือ SRETSIS ของสามพี่น้อง อิ๊บ คล้ายเดือน, เอ๋ย พิมพ์ดาว และ แอ้-มทินา สุขะหุต ที่เป็นแบรนด์ตัวตนของสาวหวาน สะท้อนผ่านงานดีไซน์ลายพิมพ์ลายปักบนชุดที่เป็นเอกลักษณ์ 

      อย่างชุดในภาพนี้ เป็นชุดของ DISAYA ที่ยังคงคอนเซปสีฟ้าที่ชอบ ผ้าพลิ้วที่เหมาะกับสาวหวาน และลวดลายที่เหมือนในเทพนิยาย 

 

ไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ หรือมีไสปอนเซอร์ใดๆ ซื้อเองทุกชุดนะคะ ด้วยน้ำพักน้ำแรงและความชอบส่วนตัวล้วนๆ และส่วนใหญ่ ก็ชอบแบรนด์ของดีไซน์เนอร์ไทยด้วยซ้ำ เพราะมีความเก๋และเข้าใจไซส์และความชอบของคนไทยด้วยกัน” ผู้ช่วยโฆษก ศบค. แถลงความสงสัยในใจของใครหลายคน

 

      Hfocus ได้ถามถึงจำนวนกระเป๋าตอนนี้มีกี่ใบ คุณหมอบุ๋มนึกพร้อมนับอยู่สักพัก และละความพยายามพร้อมหัวเราะเลยทีเดียวว่าจำไม่ได้ แต่เมื่อถามว่ายี่ห้อไหนคือ ที่สุดในดวงใจ คำตอบที่ได้ทันทีคือ 

      กระเป๋า CHANEL และ HERMES หนึ่งในใจของหมอเหมือนกับสาวๆทั้งโลกนั่นเอง อย่าถามว่ารุ่นไหนบ้าง เพราะแฟชั่นนิสต้าระดับนี้ คงมีรุ่นท็อปและสีต่างๆครบแมตกับชุดหมดแล้วแน่ๆ

 

      รองเท้า CHANEL , DIOR , ROGER VIVIER  3 ยี่ห้อรองเท้าคู่กายที่คุณหมอบุ๋มสวมใส่ไม่ว่าขึ้นเหนือล่องใต้ ไปแถลงข่าวยันคลินิก เพราะล้วนเป็นแบรนด์ที่ เซเลปและตัวแม่ด้านแฟชั่นล้วนต้องมีทั้งสิ้น

 

      เครื่องประดับ คุณหมอบุ๋มบอกว่า ไม่ชอบใส่เท่าไหร่นัก มีแค่ตุ้มหูเพชร นาฬิกา PATEK PHILIPPE คู่ใจเรือนนี้เท่านั้น สมัยก่อนชอบใส่แหวน แต่พอช่วงโควิดระบาด ต้องล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ ทำให้มีเจลเป็นก้อนเล็กไปอุดตามซอกตกค้าง จึงพักการใส่แหวนไป 

 

คำถามรอบสุดท้ายของเวทีนางงาม บนสถานการณ์โควิด

      “ถ้าคุณเลือกช่วยอะไรเกี่ยวกับโควิดได้ จะช่วยอะไรนางสาวไทยคนที่ 44 ของประเทศ ที่วันนี้อยู่ในฐานะ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ตอบว่า... 

      ถ้าเป็นไปได้ อยากช่วยให้มีวัคซีนป้องกันโรคนี้สัก 70 ล้านโดส และแจกฟรีฉีดให้กับคนไทยทุกคน...

      แต่คำถามเพียงเท่านั้น คงยังไม่โดนใจกรรมการ มีคำถามต่อไปอีกว่า...

      “ถ้าคุณอยากบอกอะไรกับคนไทยที่กำลังเผชิญสถานการณ์โควิดอยู่ขณะนี้ คุณอยากบอกอะไร

      พญ.พรรณประภา ตอบคำถามด้วยความอ่อนโยนว่า อยากให้ทุกคนใจเย็นๆ พูดจากันด้วยสติ เข้าใจกัน และร่วมกันแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน  

      “สถานการณ์โรคระบาดในตอนนี้ ถือว่า ประเทศเราดีกว่าในหลายๆประเทศมาก แต่อาจจะยังดีไม่พอ ที่ต้องเรียนรู้กันไป การติ เพื่อก่อ เป็นเรื่องที่ดี เรียนรู้จากความผิด เพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น แต่คนที่ไม่เคยทำผิด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย 

      การพูดบางอย่างที่ไม่ดี ไม่ใช่แค่คนรับฟังรู้สึกบั่นทอนแล้ว แต่รวมถึงคนพูด และสถานการณ์โดยรวมจะยิ่งเครียดและเลวร้ายไปกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้มีคำแบบนี้ในประเทศไทยของเรา

 

      คำถามก่อนของเวทีนี้ แม้จะไม่มีการประกาศรายชื่อผู้ชนะเลิศอันดับ 1 แต่การดำรงตำแหน่งของคุณหมอพรรณประภาวันนี้ ถือว่า ยืนหนึ่งอยู่บนเวทีที่เปลี่ยนบทบาทไป 

      “   จากแพทย์รักษาคน มาสู่นางสาวไทย และปัจจุบันมาสู่ ผู้ช่วยโฆษกศบค.ที่อยู่ในสายตาจับจ้องของคนทั้งประเทศ มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงเม้ามอยไปต่างๆนานา หนึ่งในนั้นคือเรื่องชู้สาว คุณหมอรับแรงกดดันเหล่านี้อย่างไร

       พญ.พรรณประภา ตอบคำถามสุดท้ายในเวทีที่เปลี่ยนไปว่า....

      ถ้าเป็นการถูกโยงไปเรื่องการเมือง ก็จะพยายามไม่รับรู้  เพราะเราเข้ามาไม่ได้มีวัตถุประสงค์

      กับจุดนั้น แต่ถ้าติชมเรื่องการทำงาน ตรงนี้รับฟังเพื่อให้เกิดการพัฒนาในการทำงานขึ้น เพราะเราไม่ใช่ผู้ประกาศ แต่มีความตั้งใจในการทำให้ดีที่สุด

        “บางครั้งมีข่าวลบๆอะไร ทั้งเพื่อน และคนหวังดีทั้งหลาย ก็ส่งต่อมาให้ทราบก่อน หรือแม้แต่เฟซบุ๊กที่คนทั่วไปแชร์ข่าวที่มีหน้าเรา พร้อมกับคำวิจารณ์ต่างๆ เฟซบุ๊กก็แจ้งเตือนแท็กหน้าเราอัตโนมัติเอง เราก็ทราบความเคลื่อนไหวตลอด

      ดังนั้นได้รับรู้และเห็นตลอดถึงคำวิจารณ์ต่างๆ  โดยเฉพาะเรื่องไม่เกี่ยวกับการพัฒนาในเนื้องานแต่ก็ไม่สนใจ เพราะเรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร เป้าหมายเราคือการเข้ามาลดความตึงเครียด ถ้าพูดอะไรให้ประชาชนรับฟัง ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และนำไปปรับใช้ได้ แค่นี้ก็คือเป้าหมายของผู้ช่วยโฆษก ศบค.แล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น"

      “เรารู้ ครอบครัวรู้ คนใกล้ชิดรู้....ว่าความจริงคืออะไร แค่นั้นก็พอค่ะ