ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาฯเผยกรณีเจอเชื้อ 2 หญิงไทย เป็นการพบสารพันธุกรรมไวรัวไม่ได้บอกเชื้อยังมีชีวิตหรือตาย ต้องเอาไปเพาะต่อ ร่วมสอบสวนโรคคนใกล้ชิด

 

วันที่ 20 ส.ค. ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหญิงไทย 2 รายตรวจเจอสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 ว่า การตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันมีความไวสูงมาก ซึ่งเป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมหรือหา RNA ไวรัสโควิด-19  ซึ่งการตรวจพบไม่ได้บอกว่า ไวรัสนั้นมีหรือไม่มีชีวิต อาจจะมีหรือไม่มีชีวิตก็ได้ การจะรู้ว่ามีชีวิตและแพร่เชื้อได้หรือไม่ ต้องเอาไปเพาะเชื้อว่าเติบโตขึ้นหรือไม่ หากเติบโตก็คือมีชีวิต นอกจากนี้ ยังต้องดูเรื่องของการสอบสวนโรคบุคคลใกล้ชิดด้วย ซึ่งเมื่อเกิดกรณีอย่างนี้ขึ้น ทางกรมควบคุมโรคก็ลงพื้นที่ไปสอบสวนโรคแล้ว

 

ศ.นพ.ยงกล่าวว่า ส่วนการยังตรวจเจอสารพันธุกรรมเชื้อโควิด-19 หลังพ้นการกักตัว 14 วันไปแล้วนั้น มีความเป็นไปได้หลายอย่าง คือ 1. เคยติดเชื้อ โดยอาจติดตั้งแต่ต่างประเทศ เมื่อเข้ามาในสเตท ควอรันทีน ก็อาจติดแบบไม่มีอาการ ซึ่งอาจตรวจพบหรือไม่พบสารพันธุกรรมก็ได้ หรือผู้ป่วยอาจหายแล้วก็ได้ เพราะไม่มีอาการ แต่เนื่องจากการตรวจมีความไว ชิ้นส่วน RNA อาจยังอยู่ อย่างที่เคยร่วมกับสำนักอนามัยและสำนักการแพทย์ กทม. ตรวจคนไข้หายดีแล้ว 200 กว่าคน ซึ่งหลายคนผลตรวจเป็นลบแล้วก่อนกลับบ้าน แต่เมื่อมาตรวจหลังผ่านไปแล้ว 12-14 สัปดาห์ ก็พบว่า 6% หรือ 12-13 คนก็ยังตรวจเจอสารพันธุกรรมได้อยู่ ซึ่งที่ตรวจพบยาวนานสุด คือ 105 วัน แต่จากการติดตามพี่น้อง ญาติ คนใกล้ชิดไม่มีใครติด ก็แสดงว่าไม่มีการแพร่เชื้อ

 

2. ระหว่างอยู่ในสเตท ควอรันทีน อาจสัมผัสรับเชื้อจากคนที่กักตัวด้วยกัน แล้วค่อยออกมาแสดงตอนหลัง แต่ประเด็นนี้เป็นไปได้น้อย เพราะเราเข้มมากเรื่องการอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้สัมผัสกัน อย่างไรก็ตาม แม้อยู่ในสเตท ควอรันทีน 14 วัน เมื่อออกแล้วก็แนะนำให้ไปควอรันทีนที่บ้าน 14 วัน ก็เป็น 28 วัน โอกาสหลุดออกไปก็น้อย

 

3.ระยะการฟักตัวเกิน 14 วันเป็นไปได้หรือไม่ ส่วนใหญ่ระยะเวลาฟักตัวอยู่ที่ 2-7 วัน ส่วนน้อยยาวนาน 14 วัน และน้อยมากๆ คือ 21 วัน ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเมื่อพ้นการกักตัว 14 วันแล้ว ก็ยังให้ไปเก็บตัวที่บ้าน ถ้าปฏิบัติแบบนี้โอกาสกระจายเชื้อน้อยมาก หรือแม้แต่คนรักษาหายแล้วออกจาก รพ. ก็ให้กลับไปกักตัวต่อ 14 วัน ก็เพื่อเก็บตก

เมื่อถามว่าการตรวจไม่เจอ RNA ของเชื้อ และภายหลังมาตรวจเจอใหม่ ขึ้นกับกำลังขยายในการตรวจหาเชื้อที่ต่างกันหรือไม่  ศ.นพ.ยงกล่าวว่า การตรวจสารพันธุกรรม เราจะขยายสารพันธุกรรม เป็น 2 ยกกำลังขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมาตรฐานในการตรวจจะยกกำลังขยายอยู่ที่ ยกกำลัง 38-40 ซึ่งทุกที่ใช้มาตรฐานเท่ากันหมด แต่ก็อาจจะเจอหรือไม่เจอก็ได้ ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น เรื่องของคุณภาพการเก็บตัวอย่าง การป้ายคอ เป็นต้น แต่สำคัญคือการตรวจเจอไม่ได้บอกว่ามีหรือไม่มีชีวิต 

 

ศ.นพ.ยง กล่าวอีกว่า โควิด-19 ไม่มีทางทำให้เป็น 0 ทั้งโลกหรือหมดไป เราจะต้องปรับตัวอยู่กับเขาให้ได้ โดยลดความรุนแรงให้ได้ ต้องปกป้องกลุ่มเสี่ยงให้มากที่สุด คือ 1. เป็นแล้วไม่ตาย เหมือนไข้หวัดใหญ่ โดยหายามารักษา หรือหากไม่เป็นโรคก็ยิ่งดี คือ มีวัคซีน ซึ่งยังไม่เห็นโรคอะไรที่มีกระบวนการคิดค้นวัคซีนได้เร็วเท่าโควิด โดย 8 เดือนมาถึงวิจัยในคนระยะ 3 แล้ว หวังว่าปีหน้าคงจะมี แต่ถึงมีวัคซีนแล้วโรคก็ไม่หมดไป และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะฉีดให้คนไทยจำนวน 40 ล้านคน ซึ่งเป็น 60% ของประชากรเพื่อก่อภูมิคุ้มกันหมู่ และหากฉีด 2 เข็มก็อาจต้องใช้ถึง 80 ล้านโดส ดังนั้น ถ้ามีวัคซีนก็ต้องให้กลุ่มเสี่ยงก่อน ที่เป็นแล้วอาการหนัก หรือด่านหน้าที่เผชิญโรคก่อน แล้วไล่ลงไปเรื่อยๆ ให้ได้ครบ

 

"การตื่นตระหนกไม่ช่วยอะไร ถึงเวลาต้องช่วยกันไม่ให้ระบาดหรือโผล่ขึ้นมาแล้วเกินความสามารถระบบสาธารณสุขรองรับได้ เราไม่ได้หวังเป็น 0 ตลอด เพราะเป็นไปไม่ได้ แต่สังคมไทยติดกับเลข 0 ทั้งนี้ เมื่อเจอขึ้นมาก็ไม่ต้องตื่นตระหนก อย่างเจอระยอง แล้วปิดกทม. แต่เมื่อพบการติดเชื้อต้องช่วยกันไม่ให้แพร่กระจาย หรือหากกระจายก็คุมให้อยู่ในระดับจัดการได้ อย่างญี่ปุ่นระบาดรอบ 2 เป็นหลักพันคนทุกวันก็ยังไม่ล็อกดาวน์ ทั้งนี้ ไทยพยายามดึงไม่ให้เกิดระลอก 2 นานที่สุด หากเกิดก็ต้องช่วยกันควบคุมให้น้อย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ถ้าช่วยกันเมื่อเกิดก็คุมได้ เพราะถ้าล็อกดาวน์อีกครั้งก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปแจก" ศ.นพ.ยงกล่าว