ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

รองประธานกก.ขับเคลื่อนจัดหาวัคซีนโควิด-19 เผยล่าสุดบริษัทซิโนแวค ไบโอเทค (Sinovac Biotech) เตรียมนำเข้าวัคซีน 2 แสนโดสเข้าไทยปลาย ก.พ. ส่วนปลาย มี.ค.อีก 8 แสนโดส และปลาย เม.ย.อีก 1 ล้านโดส รวมทั้งหมด 2 ล้านโดส

เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และรองประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อคนไทย กล่าวว่า มีข้อมูลออกไปทางโลกโซเซียลมีเดีย และหลายฝ่ายมีข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้ประชาชนสับสนและไม่แน่ใจ เราทำงานเรื่องนี้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ตั้งแต่ยังไม่ทราบผลว่าวัคซีนของเจ้าใด ที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จ มีการเตรียมข้อมูล วางเป้าหมาย มีกลไกที่ทำให้ได้วัคซีนมา ซึ่งเป้าหมายยังไม่เปลี่ยน เรายังจะฉีดวัคซีนให้คนไทย โดยรัฐ และเป็นการฉีดฟรีไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของประชากร ซึ่งเป็นวัคซีนเกือบ 70 ล้านโดส สิ่งที่เราเตรียมการ ประกอบด้วย

1.ต้นทุนในมือ เรื่องการเจรจาของบริษัทแอสตราเซเนก้า ที่ใช้เทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ขณะนี้เราทำสัญญา 26 ล้านโดส อยู่ระหว่างการผลิตในประเทศไทย คาดว่าปลายพฤษภาคม 2564 น่าจะได้ฉีดให้กับคนไทย บนแรงกดดันเราไม่ได้หยุดแค่นี้ อีกร้อยละ 20 จึงมีการเจรจาร่วมกับโคแวกซ์(COVAX) แต่เป้าหมายมีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากมีความยุ่งยาก เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป และอีกร้อยละ 10 ทำข้อตกกับบริษัทที่คิดว่ามีโอกาสผลิตวัคซีนสำเร็จ

นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า แม้ว่าเราจะมี 26 ล้านโดส คนก็ตั้งคำถามว่ามาปลายเดือนพฤษภาคมช้าไปหรือไม่ เราไม่ได้นิ่งนอนใจ มีความพยายามเจรจากับหลายฝ่าย ทั้งไฟเซอร์ โมเดิร์นน่า วัคซีนประเทศจีน และอาจจะขอซื้อเพิ่มเติมจากแอสตราเซเนก้าได้ ซึ่งเป็นเราจะเพิ่มให้ถึงเป้า และข่าวดีที่เกิดขึ้น 2-3 วันที่ผ่านมา คือทางบริษัทซิโนแวค ไบโอเทค (Sinovac Biotech) จะนำวัคซีน 2 แสนโดสเข้ามาไทยในปลายเดือนกุมภาพันธ์อย่างแน่นอน ปลายเดือนมีนาคมอีก 8 แสนโดส และปลายเดือนเมษายนอีก 1 ล้านโดส รวมทั้งหมดเป็น 2 ล้านโดส

“ต้องเรียนประชาชนว่าวัคซีนไม่ใช่สินค้าที่จะไปชอปปิ้งหากที่ไหนก็ได้ วันนี้สภาพของตลาด วัคซีนไม่ได้มีอยู่มากมาย แม้ประเทศที่เริ่มฉีดแล้วก็ค่อยๆ ฉีดไป ไม่สามารถฉีดไปทีเดียว ดังนั้นวัคซีนไม่ใช่สินค้าที่หาได้ทั่วไปในตลาด ที่สำคัญต้องมีระบบควบคุมคุณภาพและปลอดภัย หากมีคนเอามาขายจากโรงงานไม่ได้มาตรฐาน แล้วมีปัญหา เราคงซื้อมาฉีดให้คนไทย ดังนั้นข้อมูลเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่เราต้องดำเนินการให้เป็นตามหลัก” นพ.ศุภกิจ กล่าวว

ทั้งนี้ ไม่ได้ห้ามบริษัทเอกชนที่นำเข้าวัคซีนแต่ต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ประเทศไทยก่อน ซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบเรื่องผลการทดลองว่ามีความน่าเชื่อหรือไม่ โรงงานผลิตเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ และทุกล็อตที่จะนำสู่การฉีดต้องได้รับการตรวจจากกรมวิทย์ฯ ว่ามีคุณภาพตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ทั้งหมดนี้เป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนั้น หากได้รับเข้ามาโดยไม่มีการยืนยันว่าปลอดภัย แม้กระทั่งแพทย์เองก็ไม่กล้าฉีด