ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ศบค.รายงานโควิดวันนี้ 3,481 ราย เสียชีวิต 32 ราย ล่าสุดตรวจเชื้อคนงานก่อสร้างหลักสี่พบ 15 รายเป็นโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2  หลังก่อนหน้านี้พบหญิงไทยเข้าประเทศตรวจเจอสายพันธุ์อินเดียรายแรกของประเทศ!  ขณะนี้รักษาตัวรพ. แล้ว ขณะที่ “นายกรัฐมนตรี” แต่งตั้ง “คณะกรรมการเฉพาะกิจ- คณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุข” แก้ปัญหาเร่งด่วน พร้อมดำเนินการ 5 ด้าน

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) กล่าวถึงสถานการณ์การติดเชื้อโควิด19 ว่า สถานการณ์โรคโควิด19 วันนี้ติดเชื้อ 3,481 ราย เป็นติดเชื้อรายใหม่ 2,518 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 12 ราย และจากเรือนจำ 951 ราย ทำให้ผู้ป่วยสะสมระลอกใหม่ 94,203 ราย และยืนยันสะสมตั้งแต่ปีที่แล้ว 123,066 ราย หายป่วยวันนี้ 2,868 ราย หายป่วยสะสม 52,078 ราย และเสียชีวิต 32 ราย มีการรักษาอยู่ 42,827 ราย แบ่งเป็นในรพ. 17,892 และรพ.สนาม 24,935 ราย อาการหนัก 1,248 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 408 ราย ส่วนการฉีดวัคซีนโควิดล่าสุด 2,648,256 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ฉีดสะสม 1,726,431 ราย และเข็มที่ 2 ฉีดสะสม 921,825 ราย

(ข่าวเกี่ยวข้อง : ศบค.เผยตรวจพบสายพันธุ์อินเดียรายแรกของไทย)

สำหรับชุดข้อมูลของกรุงเทพมหานครระหว่างวันที่ 22 เม.ย.-20 พ.ค.64 พบการระบาดใจกลางกรุงเทพ ได้แก่ คลองเตย ราชเทวี ปทุมวัน บางรัก ป้อมปราบฯ หลักสี่ ดินแดง ซึ่งที่พักคนงานก่อสร้างหลักสี่ ที่พักคนงานก่อสร้างดอนเมือง ที่พักคนงานก่อสร้างคลองเตย ชุมชนแออัดรอบตลาดคลองเตย ชุมชนแออัดตลาดห้วยขวาง เขตดินแดง ชุมชนตลาดพลอยบางรัก เขตบางรัก และชุมชนแออัดตลาดบางกะปิ

“ในที่ประชุม นายกฯ รับทราบรายงานว่า ขณะนี้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากอยู่ที่แคมป์คนงานหลักสี่ มีคนงาน 15 รายตรวจพบเชื้อสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 ซึ่งตอนนี้อยู่รพ. และขณะนี้มีทีมสอบสวนโรคลงไปควบคุมดูแล ทั้งนี้ สายพันธุ์อินเดียเป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดค่อนข้างมาก ส่วนรายละเอียดจะมีการให้ข้อมูลโดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรคต่อไป” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ท่านนายกฯ ได้มีข้อพิจารณา สืบเนื่องจากกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ซับซ้อน จึงได้มอบให้ศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวมถึงแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อบูรณาการและแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขในศูนย์โควิด19 ให้ร่วมมือกันทำงานกับทุกภาคส่วน ทั้งกรุงเทพฯ กรมควบคุมโรค โดยเน้น 1.ตรวจสภาวะสุขอนามัยของค่ายที่พักคนงานที่ยังไม่มีการติดเชื้อ ให้ควบคุมไม่ให้มีการเดินทางข้ามเขตระหว่างค่ายที่พักคนงาน 2.จัดระเบียบตลาดนัดร้านค้าในชุมชน 3. ให้ดูแลสุขอนามัยของผู้ประกอบการร้านอาหาร รวมถึงพนักงานส่งอาหารตามบ้าน 4. จัดระเบียบการเดินทางระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภท และ5.ให้เน้นย้ำมาตรการ Work from Home ว่า ทุกหน่วยงานปฏิบัติอย่างจริงจังหรือไม่ รวมทั้งขอให้กรมอนามัย และหน่วยงานความมั่นคงมาเสริมปฏิบัติการในการตรวจตราอย่างเต็มที่

ยังมีมาตรการที่เป็นบทเรียนของจีน โดยได้สรุปยุทธศาสตร์ 4 ข้อแบ่งตามสภาพความเสี่ยงและปัญหาของพื้นที่ 1. พื้นที่ที่ยังไม่มีการระบาดต้องป้องกันเข้มงวดไม่ให้มีการนำเชื้อเข้าพื้นที่ 2. พื้นที่ที่เริ่มมีผู้ป่วยต้องใช้มาตรการค้นหา ควบคุมการระบาดในพื้นที่ และป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อต่อไป 3. พื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดเป็นกลุ่ม ต้องควบคุมการแพร่โรคให้มากที่สุด และป้องกันไม่ให้แพร่ไปยังพื้นที่อื่น โดยให้การรักษาผู้ป่วยอย่างดีที่สุด 4.พื้นที่ที่มีการระบาดอย่างมาก ใช้ยุทธศาสตร์การดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก และควบคุมการแพร่เชื้อ ให้ใช้มาตรการอยู่ที่บ้าน ฯลฯ ทั้งนี้ ต้องเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนบริหารจัดการให้ดีที่สุด

“นายกฯ ห่วงที่สุดคือ จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันสูงขึ้น ท่านแจ้งว่าแม้แต่รายเดียว ก็ไม่อยากให้มีการสูญเสียเกิดขึ้น จึงขอให้ฝ่ายการแพทย์ทั้งของ กทม. กรมการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ทุกแห่ง รวมทั้งเอกชน ได้ร่วมมือวางยุทธศาสตร์การดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างดีที่สุด มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลวิชาการ ทรัพยากรร่วมกัน ที่ไหนขาดขอให้ช่วยแชร์กัน โดยเฉพาะยา เราก็มีการศึกษาวิจัย ทั้งยาแผนปัจจุบัน และยาแผนไทยของเรา” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว