ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ประชุมพิจารณาแนวทาง “บูสเตอร์ โดส” บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า 12 ก.ค. พร้อมสำรวจตัวเลขก่อนกระจายวัคซีนให้รพ. เริ่มฉีดเข็ม 3  เบื้องต้นเป็นแอสตร้าฯ คาดดำเนินการได้สัปดาห์หน้า  ด้าน รองอธิบดีคร. เผยส่วนบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข กลุ่มอื่นๆ รวมทั้งประชาชนที่ฉีดซิโนแวคครบ 2 เข็ม จะมีการพิจารณาตามความจำเป็นและความเสี่ยงรับเชื้อต่อไป แต่ทุกคนจะได้รับการกระตุ้นทั้งหมด  

เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ 11 ก.ค.2564 นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) แถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊กกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ความคืบหน้าวัคซีน บูสเตอร์ โดส ว่า ต้องขอแสดงความเสียใจกับพยาบาลที่เสียชีวิตเมื่อวานนี้(10 ก.ค.) หลังจากติดเชื้อโควิด ซึ่งปฏิบัติงานที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ถือว่าเป็นความเสียสละ ในการปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท จนติดโควิด แต่ได้อยู่ในการดูแลรักษาพยาบาลของทีมแพทย์ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมจนถึงเมื่อวานนี้ จากกรณีดังกล่าวอยู่ในความสนใจของบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนในเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด

รองอธิบดี คร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า คุณพยาบาลได้รับการฉีดวัคซีนเดือนเมษายนเป็นเข็มแรก และฉีดเข็มที่สอง ช่วงเดือนพฤษภาคม แต่ด้วยการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยโควิดอย่างต่อเนื่องเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนก็มีโอกาสได้รับเชื้อจากการปฏิบัติงาน ประกอบกับมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องภาวะอ้วน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรง ส่วนประเด็นการได้รับวัคซีนโควิด 2 เข็มเพียงพอหรือไม่นั้น ล่าสุดได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการวิชาการภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

“จากการพิจารณาทั้งอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งโรคติดเชื้อ ไวรัสวิทยา ฯลฯ มีความเห็นต้องกันว่า การฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม มีข้อมูลสนับสนุนว่า ภูมิฯ จะลดลงหลังฉีดวัคซีนไประยะหนึ่ง จึงเป็นที่มาต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่มีความเสี่ยงที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด โดยการฉีดกระตุ้นจะฉีดด้วยวัคซีนแตกต่างจากชนิดแรก อาจเป็นไวรัลแวกเตอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า หรือชนิด mRNA ซึ่งอนาคตจะได้รับวัคซีนจากการบริจาค คือ ไฟเซอร์ ซึ่งข้อเสนอจากคณะกรรมการวิชาการ จะนำสู่การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติในวันที่ 12 ก.ค.2564 รายละเอียดจะเป็นไปตามคณะกรรมการวิชาการเสนอ ” นพ.โสภณ กล่า

นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับข้อมูลบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิดตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. -10 ก.ค.2564 พบการติดเชื้อ 880 ราย โดยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ทั้งนี้ พบว่า 54% เป็นพยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาล รองลงมาเป็นวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วย ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน อายุ 20-29 ปี รองลงมา 30-39 ปี โดยบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า 97%

รองอธิบดี คร. กล่าวอีกว่า สำหรับข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อและประวัติการรับวัคซีน ตั้งแต่ 1 เม.ย.-10 ก.ค.2564 มีเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ประมาณ 700,000 คน โดยตัวเลขติดเชื้อ 880 ราย พบไม่มีประวัติรับวัคซีน 173 ราย หรือคิดเป็น 19.7% ในจำนวนนี้ได้รับรายงานการเสียชีวิตตั้งแต่ต้นประมาณ 7 ราย โดยจำนวนนี้มี 5 รายไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด และมี 2 รายได้รับวัคซีน แบ่งเป็น 1 รายได้รับวัคซีนซิโนแวคไม่ครบ คือ รับเพียง 1 เข็ม เนื่องจากวันเริ่มป่วยเป็นช่วงหลังจากฉีดวัคซีนซิโนแวคเข็มที่ 2 เพียงวันเดียว ปกติภูมิคุ้มกันจะขึ้นเมื่อฉีดวัคซีนเข็มที่สองแล้ว 14 วัน และมี 1 รายที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว คือ น้องพยาบาลที่เป็นข่าว

นพ.โสภณ กล่าวว่า หากพิจารณาดูอัตราการติดเชื้อผู้ได้รับวัคซีน มีโอกาสป่วยและเสียชีวิตน้อยกว่าคนไม่ได้รับวัคซีน พิจารณาจากตัวเลขผู้รับวัคซีนซิโนแวค หากรับวัคซีน 1 เข็มหรือ 1 โดส มีรายงานป่วย 68 ราย คิดเป็นอัตราป่วยประมาณ 308 ต่อแสนประชากร ส่วนคนรับวัคซีนครบ 2 เข็ม มีรายงานการป่วย 618 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 91 รายต่อแสนประชากร โดยทั้ง 2 กลุ่มส่วนใหญ่อาการน้อย จะมีอาการปานกลางในคนรับวัคซีนสองเข็มอยู่ 19 ราย ซึ่งบุคลากรเป็นกลุ่มแรกๆที่ได้รับวัคซีน จึงจะเห็นจำนวนการรับวัคซีนสองเข็มมาก และมีการเสียชีวิต 1 ราย จากที่เป็นข่าววันนี้ ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ได้รับวัคซีน 1 เข็ม และพบติดเชื้อ 45 ราย หรือคิดเป็น 67 รายต่อแสนประชาการ โดยไม่มีอาการ 43 ราย อาการปานกลาง 1 ราย อาการรุนแรง 1 ราย แต่ไม่มีรายงานเสียชีวิต ซึ่งข้อมูลตรงนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้น

 

“ ขอย้ำว่า คนฉีดวัคซีนจะมีอาการน้อยกว่าคนไม่ฉีดวัคซีน แต่ขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ จากเดิมอัลฟา ช่วงหลังเป็นเดลตา ทำให้การป้องกันด้วยวัคซีนซิโนแวค อาจไม่ได้รับผลดีเท่ากับเชื้อเดิม ซึ่งในส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคไปแล้ว 2 เข็ม โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า คณะกรรมการวิชาการจึงเห็นว่าต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นอีก 1 เข็ม ตอนนี้เตรียมวัคซีนแอสตร้าฯ สามารถดำเนินการได้ในสัปดาห์หน้า เป็นเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น ส่วนท่านที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ หรือ mRNA ต้องรออีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ เมื่อสายพันธุ์เปลี่ยน แนวทางการให้วัคซีนก็จะมีการปรับเปลี่ยนต่อไป” รองอธิบดี คร. กล่าว

นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 จำเป็นต้องมีการเตรียมการ ทั้งการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม และระบบการส่งวัคซีนไปยังหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลที่ต้องดำเนินการ ทั้งนี้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ยังป้องกันโรคได้ แต่เพื่อความมั่นใจ และเพิ่มความปลอดภัย ทางคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้(12 ก.ค.) และวัคซีนที่จะจัดสรรเพิ่มเติมจะมีการสำรวจตัวเลข โดยจะเริ่มจากบุคลากรด่านหน้าก่อน ส่วนบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มอื่นๆจะตามมา ทั้งนี้ เมื่อได้ตัวเลขจำนวนจะจัดส่งวัคซีนไปให้ในการฉีดกระตุ้นต่อไป ส่วนกลุ่มอื่นๆ ขอให้รอฟังเราจะรวบรวมตัวเลขและวางแผนจัดสรรให้

ผู้สื่อข่าวถามว่าแนวทางการฉีด บูสเตอร์โดส ให้กับผู้ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ต่อจากบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า จะเป็นอย่างไร นพ.โสภณ กล่าวว่า อันดับแรก ต้องให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิดก่อน หลังจากนั้นจะพิจารณาให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขกลุ่มอื่นๆ และในส่วนของประชาชนทั่วไปที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มนั้น จะพิจารณาความจำเป็นโดยให้กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังก่อน อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า คนที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มจะได้ฉีดกระตุ้นทุกคน แต่ต้องเป็นไปตามความจำเป็นของกลุ่มนั้นๆ กลุ่มไหนจำเป็นและมีความเสี่ยงที่สุดต้องได้รับก่อน สิ่งสำคัญ ตอนนี้เราอยากให้ประชาชนได้ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม ให้มากที่สุดก่อน

เมื่อถามต่อว่า ขณะนี้พบว่าประชาชนมีการแห่จองวัคซีนทางเลือกเพื่อหวังว่าจะเป็นเข็ม 3 อีกทั้งยังพบว่าในการจองนั้นมีช่องข้อมูลให้ระบุว่าเป็นวัคซีนบูสเตอร์โดสด้วย กลายเป็นว่าประชาชนตัดสินใจเอง จะมีคำแนะนำอย่างไรหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า ตนก็อยากจะสื่อสารกับประชาชนว่าถ้ามีโอกาส ก็จะได้รับวัคซีนบูสเตอร์อยู่แล้ว