ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบ 4 ประเด็นควบคุมโรคโควิด-19 อนุมัติฉีดวัคซีนโควิดสลับชนิด เข็มที่ 1 ซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ ขณะเดียวกันเห็นชอบฉีดวัคซีนแบบบูสเตอร์ โดส โดยให้วัคซีนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็ม 2 ในระยะ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป เน้นบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ใช้แอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนกระตุ้นหลัก!!

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 12 ก.ค.2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ  แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อฯ ว่า จากการมีมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิด จึงมีการแถลงข่าวแบบออนไลน์ โดยสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ยังน่าเป็นห่วง ยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง จากการระบาดของสายพันธุ์เดลตา และแพร่กระจายไปยังจังหวัด ซึ่งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อประมาณ 1 หมื่นรายกว่าวัน หรือประมาณ 1 แสนกว่ารายในสองสัปดาห์นี้ ส่งผลให้การอัตราการเสียชีวิตมากขึ้น จึงต้องมีมาตรการป้องกันโรคที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ

นายอนุทิน กล่าวว่า มาตรการยาแรงที่ดำเนินการพร้อมกันในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด คือ ห้ามมีการรวมกลุ่มกันเกิน 5 คน ปิดสถานที่เสี่ยง จำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด ลดจำนวนขนส่งสาธารณะข้ามจังหวัดระยะไกล ให้มีการ Work From Home ของเอกชนและรัฐมากที่สุด และมีการปรับแผนฉีดวัคซีน ระดมฉีดให้แก่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และตั้งเป้าฉีดวัคซีนอายุ 60 ปีขึ้นไปให้ได้ 1 ล้านคนใน 2 สัปดาห์นี้ โดยเฉพาะพื้นที่ระบาดรุนแรงในกทม.และปริมณฑล ซึ่งปัจจุบันฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 12 ล้านโดส แต่กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังยังฉีดให้กลุ่มนี้น้อย ไม่ครบตามที่ตั้งเป้า จึงต้องเร่งฉีดให้มากที่สุดและโดยเร็วที่สุด

สำหรับการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีการพิจารณาประเด็นการควบคุมโรคโควิด 4 ประเด็น

1.เห็นชอบการฉีดวัคซีนโควิดสลับชนิด โดยเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าฯ ระยะห่างกัน 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลตา โดยรพ.ต่างๆ สามารถดำเนินการได้ทันที เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่เสียสละดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

2. ที่ประชุมรับทราบการฉีดวัคซีนแบบบูสเตอร์ โดส โดยให้วัคซีนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็ม 2 ในระยะ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป โดยบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มเกิน 4 สัปดาห์แล้ว จึงจะดำเนินการฉีดกระตุ้นบูสเตอร์โดส ได้ทันที เพื่อกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันสูง และเร็วที่สุดกับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่เสี่ยงสัมผัสเชื้อโควิด จากการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วย และจากการกลายพันธุ์จากอัลฟา มาเป็นเดลตา จึงยิ่งมีความจำเป็นต้องฉีดกระตุ้น

“การบูสเตอร์ โดส จะเป็นแอสตร้าเซนเนก้า เป็นหลัก เพราะมีข้อมูลทางวิชาการว่า การให้วัคซีนกระตุ้นคนละชนิดจะเป็นผลดีต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในบุคคล เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 มากขึ้น” นายอนุทิน กล่าว

3.ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการใช้ชุดตรวจ แรพิด แอนติเจน เทส ในสถานพยาบาล ลดการไปรอคิวนานจากการรอตรวจ RT-PCR ซึ่งใช้เวลานาน โดยชุดตรวจแรพิด แอนติเจน เทสมาใช้นั้น ต้องมีการผ่านการรับรอง และขึ้นทะเบียนกับ อย. ปัจจุบันมีผู้มาขึ้นทะเบียน 24 ราย โดยจะอนุญาตให้ตรวจมาตรฐานในสถานพยาบาลกว่า 300 แห่ง ซึ่ง และเร็วๆนี้จะอนุญาตให้ตรวจได้เองในประชาชนที่บ้าน ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะมอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

4.เห็นชอบแนวทางการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และแยกกักในชุมชน  (Community Isolation) สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง สามารถแยกกักที่บ้าน หรือในส่วนของชุมชนนั้น ก็จะเป็นการแยกกักในบ้านที่อยู่ในชุมชนจำนวนมาก ทั้งหมดจะมีระบบติดตาม มีเครื่องมือวัดออกซิเจนในกระแสเลือด มียา โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)มีแนวทางและจัดส่งอาหารให้ผู้ป่วยทุกราย ซึ่งสปสช.จะร่วมมือกับรพ.ที่เป็นเจ้าภาพในการดูแลเรื่องนี้

“นอกจากนี้ ยังรับทราบเรื่องหน่วยบริการปฐมภูมิ ในพื้นที่กทม. เพื่อเข้าดูแลผู้ป่วยถึงบ้าน ทั้งทางกายและจิตใจ หรือผู้ป่วยที่กลับมาจากรพ.แล้ว และจะมีชุดคัดกรองแรพิด แอนติเจน เทสไปให้บริการถึงชุมชนถึงบ้านที่ตัวเองอยู่ แต่เรื่องที่ยังต้องปฏิบัติคือ การดูแลป้องกันโรค สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ไม่รับประทานอาหารร่วมกัน ทั้งในบ้าน และนอกบ้าน ลดการเดินทาง ตามแนวทางที่ศบค.กำหนดไว้ ซึ่งเรามั่นใจว่าจากมาตรการและความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกคนจะลดจำนวนผู้ป่วยโควิดได้” นายอนุทิน กล่าว

แหล่งข่าวระดับสูงให้ข้อมูลผ่านโทรศัพท์ ว่า มติข้อที่ 1 คือการฉีดวัคซีนสลับชนิด เข็มแรกเป็น ซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสต้ราเซนเนกา จะดำเนินการฉีดในประชาชนทั่วไป จากนี้ไปจะเราจะไม่มีการฉีดวัคซีนเข็ม 1 เข็ม 2  เป็นซิโนแวค บวกซิโนแวคอีก  ทั้งนี้จากข้อมูล การฉีดเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าฯ นั้นสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงเกือบเท่ากับการฉีด แอสตร้า บวก แอสตร้า แต่ข้อดี คือสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มสูงได้ในเวลาเร็วกว่า

(ข่าวเกี่ยวข้อง : เปิดเหตุผลฉีดวัคซีนบูสเตอร์ โดส เข็ม 3 เพราะอะไรใช้แอสตร้าเซนเนก้าก่อนไฟเซอร์)