ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“นพ.ประเวศ’ ชี้ ในอดีต ‘กฎระเบียบ-กฎหมาย’ เบียดบังเมล็ดพันธุ์แห่งความดี แต่โควิด-19 ทำให้เกิดการระเบิดของจิตสำนึก ทำให้คนคิดนอกกรอบเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2564 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) และภาคีเครือข่าย จัดเวที “ดอก ผล พลเมืองตื่นรู้สู้ภัยโควิด-19” ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนการทำงาน การป้องกันควบคุมโรค รวมถึงนวัตกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศไทย รวบรวมคุณค่าการทำงานที่เกิดจากเครือข่ายภาคประชาชน บุคลากรด่านหน้า ท้องถิ่น อาสาสมัครเฉพาะกิจ ผู้นำชุมชน และนักสื่อสารชุมชน

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “พลังพลเมืองหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ กู้วิกฤตโควิด-19” ตอนหนึ่งว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับเรื่องเลวร้ายเพียงใด สิ่งสำคัญคือเราจะต้องหากำไรจากสิ่งนั้น และกำไรสูงสุดก็คือการเติบโตทางปัญญา ที่ทำให้เราฉลาดขึ้น เช่นเดียวกับโควิด-19 ที่ไม่ว่าจะเผชิญความเลวร้ายเพียงใด แต่สิ่งสำคัญที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยคือการกระตุ้นจิตสำนึกที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ออกมาเป็นพลังของพลเมืองตื่นรู้ ซึ่งเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาไม่เพียงเฉพาะโควิด แต่ยังรวมไปถึงวิกฤตอื่นๆ ของประเทศ

“ไทยเรายังติดสภาวะวิกฤตที่เรื้อรังและยังก้าวข้ามไม่ได้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหาศีลธรรม การคอรัปชั่นต่างๆ รวมถึงสังคมที่เปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การจะใช้เครื่องมือเก่าๆ อย่างการใช้อำนาจ ใช้เงิน หรือใช้ความรู้ที่สำเร็จรูปตายตัวแบบเดิมจะไม่ได้ผล หากแต่เราจะต้องใช้โอกาสจากวิกฤตโควิดนี้ ขับเคลื่อนพลังของพลเมืองในการที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดนี้” นพ.ประเวศ กล่าว

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า พลังหนึ่งที่ถูกกระตุ้นออกมาให้เราได้เห็นในช่วงโควิด คือเมล็ดพันธุ์ความดีที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เมื่อเห็นใครมีความทุกข์ยากก็เกิดความเห็นใจและอยากเข้าไปช่วยเหลือ แต่ที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้อาจถูกบดบังเอาไว้ด้วยเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบ ระบบราชการ หรือมายาคติต่างๆ ทว่าโควิดได้ทำให้เกิดการระเบิดของจิตสำนึก เมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์ทนทุกข์ต่อไปไม่ไหว และกฎระเบียบไม่สำคัญเท่าชีวิต เราจึงได้เห็นผู้คนออกนอกกรอบ ปรับตัวสารพัดอย่างเพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องมองให้เห็นและเอามาขยายผล ด้วยพลังของพลเมืองที่ตื่นรู้แฝงด้วยกัมมันตะ หรือ Active Citizen ที่จะเป็นคำตอบของการก้าวข้ามวิกฤตทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการรวมกลุ่ม ใช้ปัญญามาสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน ก็จะยิ่งเป็นพลังมหาศาลที่จะฝ่าความยากทุกชนิดให้สำเร็จ ดังนั้นจึงขอว่าอย่าได้ท้อถอย ถึงแม้จะมีวิกฤตอย่างไรก็อย่าหมดหวัง เพราะเรามาช่วยกันออกแบบและสร้างความเปลี่ยนแปลงร่วมกันได้” ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ กล่าว

 

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ไม่ว่าประเทศเราจะเผชิญวิกฤตอะไร ควรจะต้องมองปัญหาด้วยความหวังและอดทนที่จะเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อผลักดันให้เกิดการเดินไปข้างหน้า และสิ่งสำคัญคือผู้ที่มีอำนาจ หรือผู้ที่มีบทบาทในการตัดสินใจ ก็จะต้องไม่คิดล้มกระดานกลางคัน แต่ต้องปล่อยกลไกความร่วมมือต่างๆ เดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

“เราสร้างการเรียนรู้ตั้งแต่ช่วงการระบาดระลอกแรก ที่เปลี่ยนความตื่นตระหนกของประชาชนให้เป็นความตื่นรู้ เท่าทันกับข้อมูลข่าวสาร มาจนระลอกสองที่เกิดการแบ่งแยกและตีตรากลุ่มแรงงาน ก็เข้ามาประคองไว้ให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อรับมือ กระทั่งมาระลอกที่ 3-4 ที่มาตรการภาครัฐเริ่มจัดการไม่ไหว ก็ต้องเกิดมาตรการย่อยของภาคประชาชนที่เข้ามามีบทบาทการจัดการดูแลต่างๆ ในชุมชน ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในชุมชนคลองเตยและอีกหลายเขต ที่เรานำไปเป็นโมเดลและขยายผลต่อให้เป็นระบบที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ” นพ.ประทีป ระบุ

นพ.ประทีป กล่าวอีกว่า ดังนั้นแม้ระบบสุขภาพของไทยจะค่อนข้างมีความเข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับ แต่เมื่อเกิดวิกฤตที่ซับซ้อนก็ทำให้เราได้เห็นจุดอ่อน โดยเฉพาะปัญหาในเขตเมือง รวมถึงกลุ่มเปราะบางต่างๆ ที่การจัดการจะต้องบูรณาการกันมากขึ้น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งคือการใช้ต้นทุนทางทรัพยากรที่เรามี ทั้งพลังของเครือข่ายจิตอาสา หรือกองทุนย่อยต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งสิ่งสำคัญหลังจากนี้คือเราจะใช้ประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการรับมือปัญหาเฉพาะกิจในครั้งนี้ แปลงไปสู่การทำงานอย่างต่อเนื่องในภาวะปกติได้อย่างไร

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า แต่ละมหาวิกฤตที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติใหญ่ น้ำท่วม หรือการระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าโครงสร้างของระบบปกติจะรองรับได้ ลำพังเฉพาะหน่วยงานรัฐไม่มีทางพร้อมที่จะรับมือกับความเสียหายในระดับนี้ได้ ฉะนั้นสิ่งสำคัญจึงเป็นโครงสร้างของระบบสังคมโดยรวมที่จะเข้าไปช่วยรองรับ ซึ่งเมื่อถึงคราวจำเป็นที่จะต้องใช้พลังเหล่านั้นแล้ว มีทางที่เราจะใช้เวลาอันสั้นเพื่อดึงพลังเหล่านั้นออกมาได้หรือไม่

ดร.สุปรีดา กล่าวว่า สำหรับระบบสาธารณสุขไทย เรามีโครงสร้างอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ถูกสร้างขึ้นและผ่านการทดสอบมายาวนานกว่า 40 ปี ที่ช่วยเข้ามาเป็นฐานการรับมือกับการระบาดในสองระลอกแรกได้อย่างมั่นคง แต่สุดท้ายแล้วในระลอกถัดมาก็ทำให้เราได้เห็นจุดอ่อนที่มาเกิดขึ้นกับโครงสร้างในระบบปฐมภูมิของกรุงเทพฯ เอง จึงหวังว่าในหลายๆ ปัญหาที่โควิดเข้ามาส่องแสงให้เราเห็นแล้ว จะถูกนำมาใช้เป็นโอกาสในการปรับปรุง เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ต่อไปในอนาคต