ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อึ้ง!!! คนไทยดื้อยาเสียชีวิต 4 หมื่นคน/ปี เหตุใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น แถมโควิด-19 ซ้ำ คนเข้าใจผิดยาฆ่าเชื้อไวรัสได้ สสส.-กพย. เร่งหนุน สธ.-อย. จัดทำแผนยุทธศาสตร์จัดการดื้อยา ระยะ 2 ขยายความร่วมมือเครือข่ายวิชาการ-ภาคประชาสังคม

ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เนื่องในระหว่างวันที่ 22-30 พฤศจิกายน 2564 เป็นช่วงสัปดาห์สร้างความตระหนักรู้เรื่องยาต้านจุลชีพโลกของประเทศไทย ปี 2564 ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยา 20,000-40,000 คนต่อปี ซึ่งเชื้อดื้อยาเกิดจากการพัฒนาตนเองของเชื้อเมื่อเจอยาปฏิชีวนะ สาเหตุเกิดจากการใช้ยามากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้ประโยชน์จากยา หากดื้อยาไม่มาก ต้องเปลี่ยนยาที่มีราคาแพงขึ้นและใช้เวลารักษานานขึ้น อาการป่วยที่มีอาการน้อยก็จะมีอาการป่วยมากขึ้น อาจทำให้กลายเป็นผู้พิการหรือถึงขั้นเสียชีวิต การใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมคือ เมื่อติดเชื้อหายแล้วต้องหยุดยา บางอาการไม่ต้องใช้ยา อาทิ ไข้หวัด อาการปวดบวมอักเสบ ท้องเสีย แผลสด ซึ่งหากร่างกายได้รับยาที่ไม่เหมาะสมหรือใช้ยาเกินขนาดจะทำให้เกิดอาการดื้อยาโดยไม่จำเป็น

นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นปัญหาระดับโลก มีการคาดการณ์ว่าหากไม่เร่งแก้ไขปัญหา ในปี 2593 ทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาถึง 10 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นประชากรที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียถึง 4.7 ล้านคน สสส. เห็นความสำคัญของปัญหาเชื้อดื้อยาที่เกิดขึ้น จึง ร่วมกับศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนากลไกเฝ้าระวังและจัดการความรู้ปัญหาเชื้อดื้อยา ผลักดันให้ประชาชนตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาเชื้อดื้อยาตั้งแต่ระดับชุมชนถึงระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ดำเนินการตั้งแต่ปี 2556 โดยพัฒนาสื่อรณรงค์เรื่องเชื้อดื้อยา เผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อกระแสหลัก ทำให้ประชาชนเกิดการรับรู้และเข้าใจสูงถึง ร้อยละ 82

“ขณะนี้ สสส. และภาคีเครือข่าย อยู่ระหว่างเร่งการดำเนินงานขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย โดยร่วมสนับสนุนการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข และองค์การอาหารและยา (อย.) ในการจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย ระยะที่ 2 พ.ศ. 2566-2570 ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยเน้นสร้างความร่วมมือกับภาควิชาการและภาคประชาสังคม ได้เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนการเฝ้าระวังและควบคุมปัญหาเชื้อดื้อยา มุ่งเป้าสร้างสุขภาวะผ่านการใช้ยาที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น ลดวิกฤตสุขภาพของคนไทย” นายชาติวุฒิ กล่าว

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 พบปัญหาการเป็นไข้หวัดน้อยลง เนื่องจากประชาชนมีสุขอนามัยที่ดี แต่ยังพบปัญหาเชื้อดื้อยา เนื่องจากประชาชนบางส่วนยังขาดความรู้ในการใช้ยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง ทั้งเข้าใจผิดว่ายาปฏิชีวนะสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ รวมถึงโควิด-19 ด้วย มีการเข้าถึงยาปฏิชีวนะจากช่องทางที่ไม่ถูกต้องได้ง่ายขึ้น ทั้งกระบวนการแจกจ่ายยาปฏิชีวนะของคนในชุมชน และร้านขายของชำที่ทำผิดกฎหมาย ลักลอบจำหน่ายยาปฏิชีวนะโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้การรณรงค์เรื่องอันตรายของเชื้อดื้อยาเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อน กพย. จึงร่วมกับ สสส. และภาคีเครือข่าย เร่งขยายความร่วมมือกับเครือข่ายภาควิชาการ และภาคประชาสังคม โดยร่วมกับ อย.จัดประชาพิจารณ์ร่างประเด็นยุทธศาสตร์แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาจุลชีพประเทศไทย ระยะที่ 2

ทั้งนี้ ภายในงานสัปดาห์ความตระหนักรู้เรื่องยาต้านจุลชีพโลกของประเทศไทย ปี 2564 มีกิจกรรมอีกมากมาย โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมย่อย ได้แก่ 1.การทำประชาพิจารณ์ร่างประเด็นยุทธศาสตร์ของแผนปฏิบัติการด้านการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) 2.การสร้างความตระหนักรู้ด้านเชื้อดื้อยาโดยภาคประชาชน และ 3.การสร้างความตระหนักรู้ด้านการดื้อยาต้านจุลชีพและการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุผลในสัตว์ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-30 พฤศจิกายน 2564 สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับงานได้ที่เว็บไซต์ https://www.eventdee.com/amr/ และเฟซบุ๊กแฟนเพจ Antibiotic Awareness Thailand