ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมควบคุมโรคให้ข้อมูลการระบาดใหญ่ทั่วโลกมี 3 ระยะ  "Pre-Pandemic"  ก่อนระบาดทั่วโลก "Pandemic" มีการระบาดทั่วโลก และ "Post-Pandemic" เข้าสู่โรคประจำถิ่น คาดการณ์ภายในปีนี้ หากทิศทางคงที่ ควบคุมได้ก็จะปรับเปลี่ยนไปตามระยะของโรค 

 
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 31 ม.ค.2565  ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงอัปเดตสถานการณ์และมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 ว่า  นิยามแต่ละอย่างจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยนิยามที่ใช้มี 2 แบบ คือ นิยามตามกฎหมาย อย่างนิยามตามมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 กำหนดนิยาม 4 อย่าง ดังนี้ โรคติดต่อ โรคติดต่ออันตราย โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง และโรคระบาด 

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า หลายอัน เป็นนิยามเอาไว้ใช้ในการควบคุมโรค มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ จัดระบบเฝ้าระวัง ซึ่งแตกต่างนิยามทางสาธารณสุข ทางการแพทย์ และทางระบาดวิทยา แต่หลายอันใกล้เคียงกัน เช่น โรคติดต่อ หมายถึงโรคที่เกิดจากเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรค ซึ่งสามารถแพร่โดยทางตรงหรือทางอ้อมมาสู่คน บางครั้งโรคติดต่อและโรคติดเชื้อ ความหมายใกล้เคียงกัน แต่โรคติดต่อเน้นกระบวนการติดต่อ ยกตัวอย่าง โรคเอดส์ เป็นโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ ติดจากคนสู่คนโดยตรง แต่โรคไข้เลือดออกเดงกี่ มียุงลายเป็นพาหะไปสู่คน เป็นโรคติดต่อทางอ้อม 

"ส่วนโรคติดต่ออันตราย ทางการแพทย์และสาธารณสุขไม่มีเขียนไว้ แต่ต้องเขียนทางกฎหมายเพื่อมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ โดยหลักการโรคติดต่ออันตราย คือ เป็นโรคที่มีความรุนแรงสูง อัตราเสียชีวิตค่อนข้างมาก และแพร่ไปสู่ผู้อื่นอย่างรวดเร็ว ในพ.ร.บ.โรคติดต่อฯ กำหนดโรคติดต่ออันตราย มี 18 โรค เช่น กาฬโรค ไข้ทรพิษ ไข้เหลือง โรคติดเชื้อไวรัสนิปปาห์ อีโบลา และโควิด19 ซึ่งหลายโรคเราไม่รู้จัก เพราะมีประเทศอื่น แต่เราต้องกำหนดเพื่อป้องกันโรค เป็นต้น" นพ.โอภาส กล่าว

ส่วนโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เป็นโรคที่ความรุนแรงน้อยกว่าโรคติดต่ออันตราย แต่มีโอกาสที่หากระบาดจะเป็นไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งพบในบ้านเราแล้ว แต่ต้องมีระบบติดตาม หากมีความผิดปกติจะได้มีมาตรการแจ้งเตือน ซึ่งขระนี้โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังมี 55 โรค เช่น ไข้เลือดออกเดงกี่ มีในไทยอัตราเสียชีวิตพอสมควร และบางครั้งก็เกิดระบาดรุนแรง จึงต้องจัดระบบเฝ้าระวัง อีกอย่างคือโรคเอดส์ 

ส่วนโรคระบาด หมายถึงโรคที่รู้ชัดๆ อาจเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง หรือโรคติดต่อทั่วไป หรือโรคที่เรายังไม่รู้สาเหตุแน่ชัด แต่มีผู้ป่วยเพิ่มอย่างรวดเร็วผิดปกติอย่างที่เคยเป็นไปมา จึงจำเป็นต้องมีการประกาศ เพื่อให้มีมาตรการจำกัดพื้นที่ จำกัดการเดินทาง ไม่ให้มีการทำกิจกรรมบางอย่าง หรือสั่งการฉีดวัคซีน โดยโรคระบาดจะประกาศเป็นครั้งๆไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ เช่น หากกลางปีมีเหตุการณ์ไข้เลือดออกระบาดขึ้น ก็ต้องประกาศอาการในพื้นที่ไหน เดือนไหน เพื่อให้เป็นเขตโรคระบาด และเกิดมาตรการป้องกันโรคเฉพาะพื้นที่

อีกประการหนึ่งคำว่า โรคติดต่ออุบัติใหม่ คือโรคใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 30 ปี และมีการพบเกิดขึ้นครั้งใหม่ๆ ยกตัวอย่าง ไข้เลือดออก เข้าไทยครั้งแรกปี 2500 ตอนนั้นเป็นโรคระบาดใหม่ แต่เมื่อระบาดมานานก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น อีกอย่างคือ โรคเอชไอวี ระบาดเมื่อปี 2527 ตอนนี้ผ่านไป 40 ปีจึงกลายเป็นโรคปกติ จัดนิยามเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง เป็นต้น

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า สำหรับนิยามทางระบาดวิทยา เพื่อนักการสาธารณสุข นักระบาดวิทยาจะได้สื่อสารได้ตรงกัน โดยมี 3 คำหลักๆ คือ Pandemic มีการระบาดใหญ่ทั่วโลก มีการข้ามพรมแพนระบาดหลายประเทศข้ามทวีป ตัวอย่างชัดเจนคือ โควิด19 มีการระบาดอย่างกว้างขวาง ส่วนคำว่าโรคระบาด หรือ  Epidemic  เป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดรวดเร็ว เพียงแต่ขอบเขตจะเล็กกว่า Pandemic  ส่วนอีกคำคือ โรคประจำถิ่น หรือเรียกว่า Endemic  คือการที่มีโรคระบาดในพื้นที่แต่อาจจำกัดในเชิงพื้นที่ภูมิศาสตร์ หรือการกระจายและการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่สามารถคาดการณ์ได้ 

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า  สรุปคำว่าโรคประจำถิ่น ต้องมีการติดเชื้อที่ค่อนข้างคงที่ การติดเชื้ดคาดเดาได้ และสายพันธุ์ไม่เปลี่ยนแปลงมาก อาการรุนแรงไม่มาก ส่วนที่หลายท่านถามว่า โรคโควิด19 ต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้มีการระบาดกว้างขวางมากว่า 2 ปี ซึ่งระยะการระบาดใหญ่ทั่วโลกมี 3 ระยะ คือ 1. Pre-Pandemic  ก่อนระบาดทั่วโลก 2.Pandemic มีการระบาดทั่วโลกกินเวลาสั้นๆ 1-2 ปี หรือหลายปี และ3. Post-Pandemic เข้าสู่โรคประจำถิ่น หรือโรคติดต่อทั่วไป เมื่อมีจุดสูงสุดก็ต้องลงมาสักวันหนึ่ง

นพ.โอภาส กล่าวว่า คำว่า  Pre-Pandemic  ทางองค์การอนามัยโลกระบุขั้นตอน 5-6 ขั้นตอน ขั้นตอนหนึ่งคือเจอไวรัสตัวใหม่ อาจมาจากสัตว์และมาเจอในคน จากนั้นก็ติดต่อคนสู่คนจากทางเดินหายใจ ระบาดกว้างขวาง ตัวอย่างโควิด19 เห็นชัด อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่โควิดมา 2 ปี หลังจากระบาดใหญ่ ทิศทางจะเป็นอย่างไร ก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น หรือโรคติดต่อทั่วไปนั่นเอง ซึ่งทิศทางการจัดการก็จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกัน 

"ขณะนี้ยังไม่ทราบว่า เมื่อไหร่จะผ่าน Pandemic หรือเป็น Post-Pandemic  แต่คิดว่าภายในปีนี้น่าจะจัดการให้ผ่านพ้นการระบาดใหญ่ได้ ด้วยเหตุผล คือ คนทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 1 หมื่นล้านโดส โดยประเทศไทยฉีดไปเกิน 115 ล้านโดส หรือคนไทยได้รับอย่างน้อย 2 เข็ม และอีกประการคือ ไวรัสกลายพันธุ์ล่าสุดเป็นโอมิครอน แม้ระบาดเร็วแต่ความรุนแรงน้อยลง ดังนั้น เมื่อสถานการณ์คงที่ก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่ไม่ได้แปลว่าจะเปลี่ยนเลย โดยคาดการณ์ว่าภายในปีนี้ แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่ระยะเวลาเหมาะสม  การควบคุมสถานการณ์ให้คงที่ ความร่วมมือของประชาชน และปัจจัยอื่นๆ" อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org