ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เปิดมุมมองจิตแพทย์ต่อกรณีเด็ก 14 ปีร่วมกับแฟนหนุ่มทำร้ายแม่เสียชีวิต  ด้านที่ปรึกษากรมสุขภาพจิตชี้อย่ามองเป็นเรื่องดรามา อย่าเพิ่งสรุปว่ามาจากปัญหาสุขภาพจิต เพราะต้องประเมิน แต่ที่ชัดเจนพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาจากพื้นฐานความรุนแรงในครอบครัว ต้องแก้ไขให้ถูก   ขณะที่ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กฯ แนะนำการเลี้ยงดูบุตรหลานอย่างเหมาะสม

ตามที่สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ รับแจ้งเหตุคนทำทำร้ายจนเสียชีวิต  โดยเจ้าหน้าที่รุดตรวจสอบพบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นบุตรสาวอายุ 14 ปีร่วมก่อเหตุกับแฟนหนุ่มอายุ 16 ปีนั้น

เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2565 นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์  ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่อยากให้มองเป็นเรื่องของดรามา   การคิดโทษเด็กถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไร  หากจะให้มองในเชิงปัญหาสุขภาพจิต ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กก่อพฤติกรรมเช่นนี้ก็ไม่ใช่ การเจ็บป่วยหรือไม่ ต้องมีการประเมินผลที่ชัดเจน แต่ที่แน่ชัดในกรณีนี้คือ พฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมา แสดงว่า โตมาบนพื้นฐานความรุนแรงในครอบครัว เลยใช้ความรุนแรงในการแสดงออก เรื่องนี้ต้องมีการทบทวนในระดับสังคมทั้งระบบ ว่า มีใครรู้บ้างไหมว่า เด็กมีพฤติกรรมส่อใช้ความรุนแรง ทั้งคนข้างบ้าน โรงเรียน ครูมีใคร ทราบถึงเรื่องนี้ หรือไม่ 

ภาพจาก สสส.

นพ.ยงยุทธ  กล่าวว่า เชื่อว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเด็กคนนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีความรุนแรง หรือ เป็นเรื่องไม่ดีตลอดเวลา เป็นเพียงอารมณ์ขณะหนึ่ง อาจเป็นอามรณ์โกรธที่คุมตัวเองไม่ได้  ฉะนั้นวิธีแก้ไข คือ ต้องเอาสิ่งดีงามเข้าไปในตัวเด็ก ต้องมีชีวิตอยู่ที่เพิ่มพูนสิ่งที่ดี  ซึ่งจะเห็นว่า ในสถานพินิจ ฯ เช่นบ้านกาญจนา ฯเองก็เป็นแหล่งรวมของเด็กที่มีการใช้ความรุนแรงก่อเหตุ  แต่เด็กเหล่านี้ก็ได้รับการดูแลแก้ไขปรับปรุง เมื่อออกมาก็มีชีวิตใหม่ในสังคม และได้รับการยอมรับ  เพราะว่า ความรุนแรงที่เด็กใช้ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา และการกระทำในขณะนั้นเป็นเพียงการขาดวิจารณญาณ 

ส่วนที่ระบุว่า ไม่แคร์ไม่เสียใจต่อการกระทำ เป็นเพียงความคิดชั่วขณะ ของการกระทำเท่านั้น  ทั้งนี้การตั้งต้นแก้ไขปัญหานี้ เริ่มได้จากการไม่สนับสนุนและมีส่วนช่วยเหลือไม่ให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวได้  ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว  โดยคนใน ชุมชน คนข้างบ้าน สามารถร่วมสังเกต และแจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ให้เข้าไปช่วยเหลือ นำเด็กออกมาจากวงจรความรุนแรง เพื่อให้ในครอบครัว เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแก้ไข และนำเด็กออกมา อาจมาอยู่สถานสงเคราะห์หรือที่ปลอดภัย  ขณะเดียวกันก็เป็นการบ่มเพาะสร้างและฝึกความเป็นพ่อแม่ด้วย 

นพ.ยงยุทธ กล่าวว่า หากครอบครัวสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ เด็กก็สามารถกลับมาอยู่กับครอบครัวเช่นเดิม ซึ่งหากมีการใช้กฎหมายนี้เข้ามาแก้ไขปัญหาในครอบครัวก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่เกิดการใช้ความรุนแรง ดีกว่าที่คนส่วนใหญ่พบเห็นการใช้ความรุนแรง แต่ก็เลือกที่จะนิ่งเฉยและวิพากวิจารณ์ ก็จะทำให้ความรุนแรงยังคงอยู่   ทั้งนี้บ้านพักฉุกเฉินหรือสถานพินิจฯมีโครงการในการดูแลเด็ก เมื่อผ่านการอบรมดูแล เด็กก็สามารถกลับมาอยู่ในชุมชนได้   ส่วนพี่ชายของเด็ก ก็ควรนำตัวมาตรวจสอบและดูว่ามีบาดแผลทางใจหรือไม่ หากมีก็รับการรักษาดูแลเยียวยา

วันเดียวกัน พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวถึงการเลี้ยงดูบุตรหลานในช่วงวัยรุ่น และคำแนะนำที่เหมาะสมในการสื่อสารกับวัยรุ่น ว่า ธรรมชาติของวัยรุ่น คือความรู้สึกทุกประเภททั้งโกรธ โมโห หรือรักจะมีความรุนแรงอยู่แล้ว ขณะเดียวกันพัฒนาด้านความคิดยังไม่สมบูรณ์เท่ากับผู้ใหญ่ที่จะมองเห็นทางออกที่มากกว่า 1 ทาง หรือข้อดีข้อเสียอย่างครบรอบด้าน จึงทำให้เกิดการตัดสินใจที่ใช้วิธีรุนแรง เพื่อทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ แต่ก็ไม่ใช่เพียงการเป็นวัยรุ่นเพียงอย่างเดียว ยังประกอบปัจจัยอื่นๆ ที่เราอาจไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด เช่น สิ่งแวดล้อม การเข้าถึงวิธีหรืออาวุธที่ง่าย ยาเสพติด ไปจนถึงการมีบุคคลอื่นเข้ามาร่วมในการวางแผน

พญ.ดุษฎี กล่าวว่า สำหรับความรักเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัยและไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่สิ่งสำคัญคือพ่อแม่จะต้องสื่อสารและใช้เวลากับลูกให้มากที่สุด เพื่อให้ลูกมีเวลาสนใจกับเรื่องที่เป็นลบน้อยลง ซึ่งความรักก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ เพียงแต่ว่า หากเด็กใช้เวลาพัฒนาความสามารถของตัวเอง การพัฒนางานอดิเรกที่ช่วยให้เด็กมีความสุข เห็นคุณค่าและรักตัวเขาเองมากที่สุด เพื่อเติมเต็มความรู้สึกในตัวเด็กเอง จะทำให้เด็กไม่ต้องพึ่งพาความรักจากที่อื่นเพื่อเติมเต็มตัวเอง เปลี่ยนจากการกีดกันเด็กไม่ให้มีความรัก เพราะช่วงที่เด็กต้องการการเติมเต็มแล้วโดนกีดกัน ก็จะเกิดความขัดแย้งทั้งพ่อแม่และเด็ก

“สิ่งที่พ่อแม่น่าจะห่วงใยมากกว่า ไม่น่าจะเป็นความรัก แต่เป็นการพึ่งพาความรักจากคนอื่นมากเกินไป สิ่งนี้เราน่าจะชวนพ่อแม่มาดู ฝึกให้ลูกรักตัวเองเป็น อยู่ด้วยตัวเองเป็น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความรักจากคนรักของตัวเอง ดังนั้น เด็กที่รักตัวเองเป็น จึงจะรักคนอื่นอย่างมีคุณภาพได้ ความรักจากพ่อแม่ที่มีแก่ลูก จะทำให้ลูกรู้สึกว่าเขาเป็นสิ่งที่มีค่าของครอบครัว และในเมื่อเขาเป็นสิ่งที่มีค่า เขาจึงต้องรักในสิ่งนี้ นั่นก็คือตัวเขาเอง” พญ.ดุษฎี กล่าว

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org