ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกรณี “หมอสมิทธิ์” ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อพิจารณา “เพิกถอนกัญชา” ชี้อย่าหลงเป็นเครื่องมือฝ่ายการเมือง

จากกรณีที่ นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย และกรรมการแพทยสภา เตรียมยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อพิจารณา “เพิกถอน” ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ หรือประกาศปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด

 

ล่าสุดวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยังนายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ในประเด็นดังกล่าว ได้คำตอบว่า

 

อะไรก็ตาม หากไม่ผิดกฎหมาย ก็ย่อมสามารถทำได้ เรื่องนี้ คนที่กังวลมากที่สุดคือประชาชน เพราะนับล้าน ปลูกกัญชาไปแล้ว หวังจะใช้เพิ่มรายได้ หวังจะใช้รักษาสุขภาพ ถ้าย้อนกลับไปเป็นยาเสพติด คนไทยนับล้านจะทำอย่างไร ต้องเข้าคุก เข้าตารางกันหรือไม่ แล้วนานาชาติ เขาทยอยปลดล็อกกัญชากันหมด ไทยได้รับการยกย่องว่ามีความก้าวหน้าในเรื่องนี้  คนป่วยได้ยารักษา คนธรรมดา มีพืชเศรษฐกิจใหม่ แต่อยู่ดีๆ ก็จะกลับไปอยู่ ณ จุดเดิม จากจะนำหน้า ก็มาดึง มาฉุดกันให้ล้าหลัง

 

ทางที่ดีควรฟังคำแนะนำของนายประพัฒน์(ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ) ที่เสนอว่านโยบายเดินหน้าไปแล้ว ก็อย่าไปขวาง แต่ควรมาช่วยกันให้ความรู้ดีกว่า  กับพรรคการเมือง ที่มาเคลื่อนไหว ตนเฉยๆ เพราะรู้อยู่แล้ว ว่าต้องขัดขา เนื่องจากใกล้เลือกตั้ง กลัวภูมิใจไทย จะได้คะแนน  ส่วนกับหมอท่านนี้ ก็ไม่แปลกใจที่ออกมาค้าน เพราะท่านเป็นของท่านแบบนี้อยู่แล้ว

 

“เมื่อก่อนหมอสมิทธิ์ ผมเห็นร่วมชุมนุมกับกลุ่มหมอไม่ทนบ้าง อะไรบ้าง ก็รู้เบื้องหน้า เบื้องหลังกันดี หมอสมิทธิ์ ก็คนหน้าเดิม กลุ่มเดิมนี่แหละ เป็นพวกขาประจำ แต่วันนี้เล่นใหญ่หน่อย มาอยู่กับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เปิดตัวกันเต็มคาราเบลเลย เข้าใจได้ เพราะก่อนหน้านี้ เห็นระดมชื่อต้านกัญชาผ่านโลกออนไลน์ แล้วล้มเหลวไม่เป็นท่า มันก็ต้องหาทาง คิดใหม่ ทำใหม่ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาอยู่ในวงนักการเมืองขนาดนี้ เพราะมันมีแต่ทำให้เครดิตตัวเองดูแย่ลง จะถูกหาเป็นพวกเดียวกัน เคลื่อนไหว เพื่อเล่นเกมการเมืองชิงเหลี่ยมอำนาจ เป็นหมอ แต่ไม่เป็นกลาง เลือกข้าง เลือกฝ่าย ไปอยู่เคียงข้างนักการเมือง ซึ่งคนเขาก็คิดกันไปแล้ว เพราะภาพมันชัด ผมเตือนหมอด้วยความหวังดี ระวังจะถูกเขาหลอกใช้เป็นเครื่องมือ เครดิตที่สั่งสมมาจะเสียหมด”