ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ปลัด สธ. เผย กระทรวงการคลังได้เห็นชอบให้ปรับเพิ่มค่าตอบแทนนอกเวลา ร้อยละ 8 ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานผลัดบ่าย/ดึกเพิ่ม ร้อยละ 50 และปรับเพิ่มตำแหน่งเจ้าหน้าที่-วิชาชีพ-สายงานที่กำหนดในหลักเกณฑ์วิธีการจ่ายค่าตอบแทน เนื่องจากสอดคล้องกับภาระงาน/ภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบฉบับที่ 2, 10, 11 และ 12 ตามเดิม เตรียมออกข้อบังคับโดยเร็วต่อไป

 

วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ได้เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ ฉบับที่ 5 โดยเพิ่มค่าตอบแทนทุกวิชาชีพในการปฏิบัติงานลักษณะเป็นเวรหรือเป็นผลัด (OT) ขึ้น ร้อยละ 8 และเพิ่มค่าตอบแทนผลัดบ่ายหรือผลัดดึก ที่เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการในเวลาราชการปกติขึ้น ร้อยละ 50 เนื่องจากเป็นหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2552 ไม่สอดคล้องกับภาระงานและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขบางส่วนย้ายไปปฏิบัติงานนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เกิดความขาดแคลนบุคลากรซึ่งจะกระทบต่อการให้บริการ โดยได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังเพื่อขอความเห็นชอบในการปรับอัตราค่าตอบแทน ฉบับที่ 5 และปรับเพิ่มรายการตำแหน่ง, วิชาชีพและสายงาน ที่ให้ได้รับค่าตอบแทน รวมทั้งขอความเห็นชอบหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนฉบับที่ 2, 10,  11 และ 12 ในอัตราเดิม 

 

นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ล่าสุด กระทรวงการคลังได้มีหนังสือตอบกลับเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา แจ้งเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอทั้ง 2 เรื่อง เนื่องจากเห็นว่าอัตราค่าตอบแทนที่กระทรวงสาธารณสุขขอปรับเพิ่มขึ้นนั้น เพื่อให้มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และขอให้กระทรวงสาธารณสุขออกข้อบังคับ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินบำรุงในลักษณะค่าตอบแทนสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้กับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สอดคล้องกับอัตราค่าตอบแทนที่กระทรวงการคลังเห็นชอบต่อไป 

 

"เรื่องการออกข้อบังคับฯ การจ่ายเงินบำรุง เป็นอำนาจของปลัดกระทรวงสาธารณสุข ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ซึ่งจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้บุคลากรได้รับค่าตอบแทนอัตราใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขต่อไป" นพ.โอภาสกล่าว