ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สปสช. จัดประชุมการใช้งานระบบขึ้นทะเบียนแบบครบวงจร One Stop Service เป็นธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบช่วยสถานบริการและหน่วยบริการลดความยุ่งยากในการขึ้นทะเบียนและทำสัญญากับ สปสช. 

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดประชุมชี้แจงและอบรมการใช้งานระบบขึ้นทะเบียนแบบครบวงจร One Stop Service เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยมีผู้แทนหน่วยบริการกว่า 500 แห่งเข้าร่วมประชุม ดำเนินการสมัครขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการและได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนในวันดังกล่าว จำนวน 18 แห่ง แจ้งกลับให้หน่วยบริการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของสถานบริการอีกครั้ง จำนวน 69 แห่ง

นพ.ดุสิต ขำชัยภูมิ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ภารกิจหลักของ สปสช. คือการบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพในการจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยบริการเพื่อให้เกิดการจัดบริการแก่ประชาชน และในส่วนของหน่วยบริการ เมื่อขึ้นทะเบียนกับ สปสช.แล้ว เวลามีประชาชนไปใช้บริการก็จะมีการส่งข้อมูลเข้ามาตามระบบ จากนั้น สปสช.จะนำข้อมูลไปประมวลผลแล้วก็จ่ายเงินให้หน่วยบริการ ด้วยเหตุนี้กระบวนการขึ้นทะเบียนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญเครื่องมือหนึ่งทำให้จ่ายเงินให้หน่วยบริการอย่างถูกต้อง 

ขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการกำกับดูแลคุณภาพ ซึ่งขั้นตอนการขึ้นทะเบียนก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนการกำกับคุณภาพ มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ขณะเดียวกันก็จะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วด้วย ด้วยเหตุนี้ สปสช. จึงได้พัฒนาระบบการขึ้นทะเบียนอยู่ในการแบบครบวงจรหรือ One Stop Service เพื่อปรับปรุงการขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง รวดเร็ว มีการ Lean ระบบ ปรับระบบการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และองค์การเภสัชกรรม รวมทั้งจะเชื่อมโยงข้อมูลกับสภาวิชาชีพต่างๆ เพื่อให้ระบบนี้เป็น One Stop Service จริงๆ ตั้งแต่กระบวนการรับสมัครหน่วยบริการไปจนถึงการทำนิติกรรมสัญญาแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว ช่วยลดภาระด้านเอกสารและระยะเวลาการตรวจสอบข้อมูล โดยเฉพาะหน่วยบริการที่เป็นนวัตกรรม เช่น คลินิกการพยาบาล ร้านยา คลินิกทันตกรรม คลินิกกายภาพบำบัด ฯลฯ สปสช. ตั้งเป้าหมายจะทำให้กระบวนการขึ้นทะเบียนมีความรวดเร็ว สามารถอนุมัติได้ภายใน 3 วัน

“ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการเชื่อมต่อข้อมูลสถานบริการเพื่อ mapping หรือจับคู่กับที่อยู่ของประชาชน ให้เข้าถึงบริการอย่างสะดวก และหน่วยบริการก็ Mapping กับงบประมาณ ทำให้สามารถจ่ายชดเชยค่าบริการได้อย่างถูกต้อง นี่ก็คือประโยชน์ของการขึ้นทะเบียน”นายดุสิต กล่าว

นพ.ดุสิต กล่าวอีกว่า การประชุมในวันนี้ยังอยู่ในเฟสที่ 1 คือการขึ้นทะเบียน เฟสต่อไปจะเป็นเรื่องการทำสัญญา และไปสู่เฟสของการกำกับติดตามคุณภาพต่อไปในอนาคต และต้องขอขอบคุณหน่วยบริการที่เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาระบบนี้ครบวงจรและใช้งานได้จริง 

ระบบขึ้นทะเบียน One Stop Service

ทั้งนี้ระบบขึ้นทะเบียน One Stop Service จะเป็นการจัดทำระบบให้เป็นรูปแบบธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูปแบบ โดยมีการเปลี่ยนแปลงระบบให้รองรับการ Log in เข้าใช้งานระบบ แบบยืนยันตัวตนขึ้นมาใหม่ ด้วยระบบ ThaiD และยืนยันอีกรอบด้วยการคลิก Link ใน E-Mail ที่ระบบส่งเข้าไป (Two-Factor Authentication) และระบบได้ถูกออกแบบให้เจ้าของข้อมูลเป็นผู้บันทึกข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลของสถานบริการหรือหน่วยบริการเอง เช่น เลขบัญชีธนาคารที่จะใช้สำหรับรับเงินค่าชดเชยบริการจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งข้อมูลที่แสดงถึงศักยภาพของหน่วยบริการเพื่อประกอบการจ่ายค่าชดเชยบริการ เพื่อให้ข้อมูลของหน่วยบริการมีความถูกต้อง

ระบบนี้ยังรองรับการใช้งานแบบ Single Sign on ของงานขึ้นทะเบียน ผู้ใช้งานที่ log in เข้ามาจะเห็นทุกเมนูตามสิทธิที่ต้องจัดการในหน้าเดียว รองรับการขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลที่มีหลายสถานพยาบาลในการดูแลของนิติบุคคลเดียวกัน เช่น ร้านยาในเครือข่ายบู๊ทส์ เป็นต้น โดยผู้มีอำนาจของสถานบริการสามารถเข้ามาจัดการหลายสถานบริการที่ต้องการขึ้นทะเบียนพร้อมๆกันได้ในคราวเดียว

นอกจากนี้ ระบบ One Stop Service ยังรองรับการยืนยันตัวตนและการลงนามในเอกสารด้วยระบบ ThaID โดยทางผู้มีอำนาจลงนามของหน่วยบริการไม่ต้องพิมพ์เอกสารจากระบบและนำไปลงนามอีก ตลอดจนรองรับการมอบอำนาจโดยถ้าผู้ที่ยืนยันตัวตนเข้ามาเป็นผู้มีอำนาจลงนามในนิติบุคคลนั้น จะสามารถจัดการการมอบอำนาจให้กับผู้อื่นได้ด้วย