ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สปสช. หนุน “30 บาทอัปเกรด” เคาะงบ 60 ล้านบาท ผู้ป่วยมะเร็งบัตรทองเข้าถึงนวัตกรรมบริการการแพทย์ขั้นสูง ผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ นำร่อง 3 กลุ่ม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ตับอ่อนและท่อน้ำดี เป้าหมาย 600 ราย

ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ - ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภพแห่งชาติ มีมติรับทราบแนวทางดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายกรณีบริการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์และอนุมัติการใช้งบประมาณจำนวน 60 ล้านบาท สำหรับบริการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท ในปีงบประมาณ 2567 เพื่อดูแลผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจำนวน 600 ราย

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มมาตรฐานและคุณภาพด้านบริการสาธารณสุขให้กับประชาชน โดยมุ่งยกระดับบริการภายใต้ “30 บาทอัปเกรด” เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ในวันนี้บอร์ด สปสช. ได้มีมติรับทราบแนวทางดำเนินการจ่ายค่าใช้จ่ายกรณีบริการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ โดยนำร่องให้บริการผู้ป่วยมะเร็ง 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. มะเร็งต่อมลูกหมาก 2. มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง (ในกลุ่ม CA rectum, CA Anal Canal) และ 3. มะเร็งตับ ตับอ่อน และท่อน้ำดี (เริ่มในบริการ Whipple Operation) คาดการณ์ว่าจะมีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากประมาณ 500 ราย ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงประมาณ 50 ราย และมะเร็งตับ ตับอ่อนและท่อน้ำดี อีกประมาณ 50 ราย รวมผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการรับบริการทั้งหมดจำนวน 600 ราย ประมาณการณ์ค่าใช้จ่ายชุดอุปกรณ์ในการในการผ่าตัดหุ่นยนต์ประมาณ 100,000 บาทต่อราย รวมเป็นเงินงบประมาณทั้งหมดจำนวน 60 ล้านบาท 

ทั้งนี้ หน่วยบริการที่จะร่วมให้บริการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ในระบบบัตรทองฯ นี้ จะต้องผ่านการประเมินศักยภาพจากคณะกรรมการการพัฒนาระบบบริการผ่าตัดแผลเล็ก (MIS : Minimal Invasive Surgery) ที่กระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง หรือคณะกรรมการอื่นตามที่ สปสช. กำหนด ส่วนหน่วยบริการภาครัฐ 7 แห่ง ที่ให้บริการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์อยู่แล้วในปัจจุบัน สามารถให้บริการต่อเนื่อง และถือว่าผ่านการประเมินแล้ว

“การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ เป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีความแม่นยำในการผ่าตัด โดยเฉพาะตำแหน่งที่เข้าถึงได้ยาก ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดได้ ทำให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยในการรักษามากขึ้น มีระยะเวลาในการฟื้นตัวเร็วขึ้นทำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลสั้นลง รวมทั้งลดการสัมผัสระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ผู้ผ่าตัด ช่วยเพิ่มคุณภาพบริการและความปลอดภัยในการผ่าตัดให้กับประชาชน สิทธิประโยชน์นี้จึงนับเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างยิ่ง” นพ.ชลน่าน กล่าว  

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวต่อว่า คณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุน สปสช. ได้มีมติเห็นชอบการเพิ่มรายการบริการผ่าตัดวันเดียวกลับและการผ่าตัดแผลเล็กเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 65 และได้มีผลการบริการตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 เป็นต้นมา ต่อมาในการประชุมคณะทำงานยกระดับความเป็นเลิศด้านการแพทย์ขั้นสูงสุด สปสช. เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2566 ได้เห็นชอบข้อเสนอบริการการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ในผู้ป่วยมะเร็ง 3 กลุ่มข้างต้น เพื่อเป็นบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ควรสนับสนุนเพื่อสร้างความเป็นเลิศขั้นสูงสุดของไทย โดยมอบให้ สปสช. นำเข้ากระบวนการบริการ MIS และรายงานต่อคณะทำงานเพื่อทราบผลการดำเนินการ 

ทั้งนี้ สปสช. ได้ร่วมกับคณะกรรมการการพัฒนาระบบบริการ การผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ (One Day Surgery) และการผ่าตัด. แผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) ผู้เชี่ยวชาญจากราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย กรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม และสำนักพัฒนาโรคร่วมไทย หารือแนวทางการให้บริการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ ให้สอดคล้องกันทั้ง 3 กองทุน และนำมาสู่มติรับทราบของบอร์ด สปสช. ในวันนี้  โดยในขั้นต่อไป สปสช. จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเงื่อนไข ข้อบ่งชี้ อัตราจ่าย และแนวทางการติดตามประเมินผลต่อไป