ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เตือนอย่าหลงเชื่อน้ำต้มใบมะละกอรักษาโรคมะเร็ง ข้อมูลยังน้อย ที่ผ่านมาเป็นเพียงการศึกษาวิจัย ขอผู้ป่วยอย่าทิ้งการรักษาหลัก

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.  ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ตามที่มีการให้ข้อมูล พร้อมเบอร์โทรของคนไข้ 11 คน ที่มีการออกมาระบุว่ารักษาโรคมะเร็งด้วยน้ำต้มใบมะละกอแล้วหาย ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ก็ได้ติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ แต่ปรากฏว่า ไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลกับทางโรงพยาบาลฯ ส่วนคนที่ออกมาให้ข้อมูลในคลิปที่มีการแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียว่าใช้จริง และหายจริงนั้น มีการให้ข้อมูลว่าตัวเขาใช้ หลังจากแพทย์ไม่ได้ทำการรักษาโรคแล้ว จึงมากินใบมะละกอ แต่เอาความเป็นจริงของการรักษามะเร็งด้วยใบมะละกอนั้นถือว่า มีข้อมูลน้อยมากที่จะเอาไปใช้ในผู้ป่วยมะเร็งทุกราย  ที่ผ่านมามีการศึกษาวิจัยจริงๆ แต่เป็นการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองเท่านั้น และมีแค่เคสรีพอร์ตในต่างประเทศ ว่าดื่มน้ำต้มใบมะละกอ

 

ทั้งนี้ ในมุมของตน เห็นว่า หากกินปริมาณไม่เข้มข้นมาก ในตัวมะละกอก็จะมีสรรพคุณความเป็นอาหารอยู่ แต่ไม่ได้มีปริมาณสูง แต่ก็ยังมีข้อห้ามใช้ หรือข้อควรระวังในคนบางกลุ่ม เพราะมีรายงานมีการใช้สารสกัดแล้วทำให้เอ็นไซน์ตับขึ้น มีผลต่อหนูที่ตั้งท้อง ทำให้หนูที่คลอดออกมามีความผิดปกติ ดังนั้นในคนไข้กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับตับ ไต หรือป่วยเป็นโรคเรื้อรังบางอย่าง โดยเฉพาะพวกที่ให้เคมีบำบัดเราไม่แนะนำให้ใช้

 

ภญ.ผกากรอง กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการใช้ใบมะละกอรักษามะเร็ง และตนคิดว่า โรคมะเร็งเป็นโรคที่มีความซับซ้อน แม้กระทั่งยาแผนปัจจุบัน ยังต้องมีการศึกษาวิจัยหลายขั้นตอนกว่าจะเอาไปใช้ในคนได้ ดังนั้นตนคิดว่ามะละกอยิ่งยากไปกว่าอีก เพราะการศึกษาวิจัยรองรับ ที่เป็นพื้นฐานในบ้านเรา แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะตามเปเปอร์มีการใช้ได้หลายอย่าง ที่มีการวิจัยคือใช้เพิ่มเกล็ดเลือดในคนไข้ไข้เลือดออก ผู้ป่วยมะเร็งบางคนอาจจะเอาไปใช้ ซึ่งตนก็ไม่ได้เป็นคนได้ข้อมูลมาเองจึงไม่รู้ว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่ ดังนั้นยังมีข้อกังขาพอสมควร อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัย สามารถโทรมาสอบถามที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

 

“ถามว่าใช้ได้ไหม ใช้ได้แต่ความเข้มข้นต้องไม่สูง และถ้าอยู่ระหว่างการให้เคมีบำบัดไม่ควรใช้ ไม่ใช้เป็นทางหลักในการรักษา โรคมะเร็งเป็นโรคที่มีความซับซ้อน แล้วปัจจัยในตัวเราก็มีผลกับตัวโรค ที่สำคัญคือไม่ควรไปปักใจเชื่อวิธีการใดวิธีการหนึ่งมันจะดี เพราะเรายังไม่มีข้อมูลมาก เรารู้แค่ว่าเขากินใบมะละกอ 11 คน แต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทยยังมีอีกจำนวนมาก แล้วคนป่วยคนอื่นเขากินแล้วได้ผลไหม เขากินอย่างไร เขารักษาโรคด้วยวิธีการอะไรบ้าง เพราะเมื่อป่วยมะเร็งมันเป็นเรื่องขององค์รวมทั้งเรื่องจิตใจ อาหาร การพักผ่อน ที่ผ่านมาพี่ดูแลคนไข้มะเร็งจำนวนหนึ่ง ไม่มีหรอกที่เขาใช้สมุนไพรอย่างเดียว มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย จะใช้ร่วมกับอาหาร ออกกำลังกาย ทำสมาธิ และถ้ายังรักษาแผนปัจจุบันได้ก็ควรไป พี่กังวลว่า ตอนนี้คนไข้จะหันไปดื่มน้ำใบมะละกอกันหมดแล้วมันจะเอาโรคไม่อยู่”  ภญ.ผกากรอง กล่าว

ทั้งนี้ ขอเตือนไปยังผู้ป่วย ประชาชนทั่วไปว่า อย่าไปปักใจเชื่อวีการใดวิธีการหนึ่งว่าจะได้ผล ไม่อย่างนั้นบริษัทยาเขาคงทำยาจากใบมะละกอออกมาขายกันหมดแล้ว ไม่ต้องลงทุนวิจัยยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าเลย มะเร็งเป็นโรคที่มีความซับซ้อน ต้องการการรักษาที่เท่าทัน เพราะปัจจุบันตัวโรคก็ไปเร็วมาก อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยท่านใดอยากจะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค ทางโรงพยาบาลอภัยภูเบศยินดีให้คำปรึกษา เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด ซึ่งเราจะยึดถือเรื่องความปลอดภัยมาก่อน เพราะหากกินไปแล้วส่งงผลให้ตับพัง ไตพัง สุดท้ายก็ไม่มีทางหาย

 

เมื่อถามถึงกรณีประเทศญี่ปุ่นจดสิทธิบัตรว่าใบมะละกอรักษามะเร็งได้  ภญ.ผกากรอง กล่าวว่า หน่วยงานที่รับจดสิทธิบัตร ไม่ได้ดูว่า สิ่งที่เคลมนั้นใช้ได้ผลหรือไม่ แต่แน่นอนว่า เขามีงานวิจัยขั้นพื้นฐาน อย่างน้อยก็ระดับหลอดทดลอง หรือสัตว์ทดลอง แต่ระดับการทดลองในคนนั้นเท่าที่มีการสืบค้นยังไม่มี ซึ่งจริงๆแล้ว ประเทศไหนที่มีคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน ก็คงไม่ง่ายที่จะอนุญาตให้ทดลองในคน ต้องมีความปลอดภัยจริง อย่างกัญชา การนำมาใช้ในคนป่วยมะเร็งยังต้องใช้ในผู้ป่วยระยะท้ายแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นถึงได้รับอนุญาต