ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

เราทุกคนเคยเจ็บป่วยและได้รับการรักษาจากโรงพยาบาล แต่เคยตั้งข้อสังเกตไหมครับว่า ในการดูแลรักษาคนป่วยแต่ละสิทธินั้นมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องยาถ้ามีคนป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ 3 ราย รายแรกใช้สิทธิบัตรทอง รายที่สองใช้สิทธิประกันสังคม และรายสุดท้ายใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการ ผู้ป่วยที่จะได้รับยามากที่สุดก็คือผู้ป่วยที่ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการ ส่วนผู้ป่วยที่จะได้รับยาน้อยที่สุดคือผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทองครับ ผมจะยังไม่พูดถึงว่าได้รับยามากหรือน้อยอันไหนดีกว่ากัน ขอยกไปพูดฉบับหน้าแต่ฉบับนี้ขออนุญาตพูดถึงที่มาที่ไปของการจ่ายยาให้กับผู้ป่วยเพื่อให้เห็นภาพรวมระบบบริหารจัดการด้านสุขภาพของประเทศ

รัฐมีระบบการบริหารจัดการสุขภาพของคนไทยอยู่ 3 กองทุนหลักๆ คือ กองทุนสวัสดิการข้าราชการซึ่งมีคนที่ต้องดูแลอยู่ 4.9 ล้านคน กองทุนประกันสังคมซึ่งมีคนที่ต้องดูแล 9.4 ล้านคน และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) มีคนอยู่ภายใต้การดูแล 47.7 ล้านคน อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการสนับสนุนงบประมาณของรัฐในแต่ละกองทุนก็จะพบว่ากองทุนสวัสดิการข้าราชการ และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้นรัฐสนับสนุนงบประมาณทั้งหมดแต่สำหรับกองทุนสวัสดิการข้าราชการนั้นรัฐให้งบสนับสนุน แบบไม่จำกัดเพดาน หมายความว่า หากข้าราชการมีค่าใช้จ่ายในการ รักษาสุขภาพเท่าไหร่รัฐก็เป็นผู้จ่ายให้ทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไขส่วนกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้นรัฐให้การสนับสนุนแบบมีเพดานการจ่ายโดยคิดเป็นค่าเหมาจ่ายรายหัวอยู่ที่ 2939.73 บาท/ปี สำหรับกองทุนประกันสังคมนั้นเงินสนับสนุนมาจาก 3 ส่วนคือรัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้าง โดยรวมกันคิดเป็นค่าใช้จ่ายการรักษาอยู่ที่รายละ 1,938 บาท/ปี

ด้วยการสนับสนุนงบประมาณที่ไม่เท่ากันของรัฐและจำนวนผู้คนที่แต่ละกองทุนต้องดูแลซึ่งก็มากน้อยต่างกันไปอีก โรงพยาบาลซึ่งได้รับงบค่ารักษาแบบเหมาจ่ายตามจำนวนต่อหัวประชากรจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการงบประมาณที่มีอยู่ไม่ให้ขาดทุน และทำให้มีเงินเหลืออยู่มากที่สุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเคยชินทั้งต่อแพทย์และผู้ป่วย คิดภาพตามครับว่า กองทุนที่มีเงินชัดเจน รู้ชัดว่าได้เท่าไรต่อปี จะจ่ายยาแต่ละครั้งหมอก็ต้องเลือกจ่ายยาที่จำเป็นจริงๆ จะให้วิตามิน อาหารเสริมเหมือนที่แล้วๆ มาคงไม่ได้แล้ว ส่วนผู้ป่วยเมื่อได้รับยาน้อยลงก็คิดว่าสิทธิการรักษาของตนไม่ดี สู้สิทธิอื่นๆที่ได้ยาเยอะๆ ไม่ได้

พอเอาเรื่องกำไร-ขาดทุนมาผูกกับเรื่องสุขภาพก็เกิดคำถามตามมาว่า แล้วประชาชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกองทุนต่างๆ จะได้รับการรักษาที่มีคุณภาพไหม? คำตอบก็คือ แต่ละกองทุนจะมีกลไกตรวจสอบอยู่ครับ แต่กลไกของแต่ละกองทุนก็ "เข้มแข็ง" ไม่เท่ากันอีก ประชาชนในแต่ละกองทุนจึงต้องรับสภาพการรักษาที่เหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม

จริงๆ เรื่องนี้มีทางออกหากไม่ต้องการให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการดูแลสุขภาพของคนในประเทศ รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ต้องให้มีคนกลุ่มไหนต้องการจ่ายสมทบค่ารักษา รวมทุกกองทุนด้านสุขภาพเข้าด้วยกัน แล้วบริหารจัดการแบบเฉลี่ยทุกข์-เฉลี่ยสุข งบที่รัฐจ่ายให้แต่ละกองทุนในขณะนี้มากพอที่จะทำให้ทุกคนได้รับการรักษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมโดยไม่ต้องให้ประชาชนสมทบจ่าย ไม่ว่าจะเป็นกรณี 30 บาท หรือการต้องจ่ายสมทบของคนงานในระบบประกันสังคม

เรื่องนี้ผมเชื่อว่า"รัฐทำได้ครับ" หากตั้งอยู่บนฐานความคิดความเชื่อร่วมกันว่าประชาชนทุกคนในประเทศนี้เป็น "คน" เท่ากันและถ้ารัฐบาลนี้ต้องการสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำ

เสนอมาแบบนี้ ถ้าคุณผู้อ่านชอบก็กด "Like" ถ้าคิดว่าใช่ก็ช่วยกันกดดัน "รัฐบาล" ครับผม

นายนิมิตร์ เทียนอุดม ถือเป็นเอ็นจีโอด้านสุขภาพระดับแนวหน้าคนหนึ่ง ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์เลขาธิการชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน และเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ฝ่ายภาคประชาชน

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน 29 พ.ค. 55