ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ทำการศึกษาเรื่องการประมาณการงบประมาณสำหรับผู้สูงอายุและแหล่งที่มาของเงิน เพื่อเตรียมรองรับการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคตโดยสำนักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็กเยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ (สท.)กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขอให้ทำการศึกษา

ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและมีสัดส่วนจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทุกปีโดยในปี 2553 ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุ(60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 12 และจะเพิ่มถึงร้อยละ25 ในปี 2573 หรือเท่ากับคนไทยทุกๆ 4 คนจะมีผู้สูงอายุอยู่ 1 คน ผลของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะยิ่งทำให้รัฐต้องจัดหาสวัสดิการเพิ่มเติมทั้งในรูปของปริมาณและคุณภาพ เพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆซึ่งทำให้รัฐมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตาม จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องภาระค่าใช้จ่าย และแหล่งเงินทุนสำหรับการจัดหาสวัสดิการผู้สูงอายุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตลอดจนการหาแนวร่วมที่จะเข้ามาช่วยในด้านสวัสดิการผู้สูงอายุ

จากการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยากอยู่กับครอบครัว จึงควรจัดสวัสดิการที่เอื้อให้อยู่กับครอบครัวได้ โดยรัฐดูแลผู้สูงอายุที่ไม่มีครอบครัว ไม่อยากอยู่หรือครอบครัวไม่พร้อมการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุควรมีการดูแลทั้งในด้านจิตใจและร่างกาย ในภาพรวมแม้สวัสดิการที่ผู้สูงอายุได้รับจะดีขึ้นจากการแจกเบี้ยยังชีพและการรักษาพยาบาล แต่ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำซ้ำซ้อนของการได้รับสวัสดิการซึ่งต้องแก้ไขและกระจายให้เกิดความเสมอภาคและขยายประโยชน์เพิ่มเติมให้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่ยากจน และ/หรืออยู่ในภาวะพึ่งพิงให้สามารถดำรงชีพขั้นพื้นฐานได้ โดยปัจจุบันมีผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงราว 1-1.4 แสนคน

การจัดสวัสดิการสังคมจะต้องคำนึงถึงความเพียงพอและความซ้ำซ้อน โดยเป็นระดับสวัสดิการที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ส่วนความซ้ำซ้อนเกิดจากการออกแบบโครงการมากกว่าหนึ่งโครงการ แต่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันหรือทับซ้อนกัน ทำให้ประชาชนบางกลุ่มสามารถรับสวัสดิการได้มากกว่าหนึ่งโครงการจนเกิดความไม่เท่าเทียมกัน จึงเป็นสิ่งที่ควรป้องกันและแก้ไข

การศึกษาได้เสนอชุดทางเลือกของสวัสดิการผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการผู้สูงอายุได้มากขึ้น อันได้แก่ ชุดสวัสดิการรูปแบบที่ 1 ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานประกอบด้วย เบี้ยยังชีพสูงอายุสวัสดิการหลักประกันสังคม (บำเหน็จ บำนาญปกติ และ กบข. ประกันสังคม กรณีชราภาพ)สถานสงเคราะห์คนชรา เงินสงเคราะห์จัดการศพ กองทุนผู้สูงอายุ และกองทุนการออมแห่งชาติ ชุดสวัสดิการรูปแบบที่ 2 ปรับเพิ่มจากชุดแรก โดยเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ยากจน (ให้เท่ากับเส้นความยากจน) และ/หรืออยู่ในภาวะพึ่งพิง (ประมาณเดือนละ 4,085 บาท) ชุดสวัสดิการรูปแบบที่ 3 เพิ่มระบบสวัสดิการที่มีภาคีส่วนร่วมอื่นๆเช่น กองทุนยุวชนจิตอาสาการส่งเสริมสังคมสวัสดิการ และส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

เมื่อพิจารณาถึงภาระด้านงบประมาณของแต่ละชุดโครงการนั้น ประมาณการว่าในช่วงปี2555-2564 ค่าใช้จ่ายของสวัสดิการผู้สูงอายุสำหรับชุดสวัสดิการรูปแบบที่ 1 มีจำนวน 1.7-4.6 แสนล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 1.7-5.0 และ 1.7-5.1 แสนล้านบาท ในรูปแบบที่ 2 และ3 ตามลำดับ การดำเนินการในระยะเริ่มแรกรัฐควรจัดสรรสวัสดิการในรูปแบบที่ 1 ก่อน เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีพได้ในระดับพื้นฐาน และหากรัฐมีรายได้มากเพียงพอจึงค่อยขยับเพิ่มสวัสดิการในรูปแบบที่ 2 และ 3 ในภายหลัง

ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายของชุดสวัสดิการผู้สูงอายุ เมื่อเทียบกับรายได้ของภาครัฐหรือเทียบกับรายได้ประชาชาติ พบว่า หากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวเฉลี่ยถึงร้อยละ 7 ต่อปี (ในรูปตัวเงิน) งบประมาณสวัสดิการผู้สูงอายุจะคิดเป็นร้อยละ 7.9-10.2 ของรายได้ภาครัฐ และร้อยละ 1.6-2.4 ของรายได้ประชาชาติ แล้วแต่จะใช้ชุดสวัสดิการรูปแบบที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลา ตามการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนของผู้สูงอายุในโครงสร้างประชากร ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าหากรัฐจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบแล้ว(รูปแบบที่ 3) รัฐจะมีภาระค่าใช้จ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อยละ 0.3-0.9 ของรายได้ภาครัฐและร้อยละ 0.03-0.22 ของรายได้ประชาชาติในช่วงปี 2555-2564

การศึกษายังได้เสนอแนวทางการสร้างความยั่งยืนของการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและนโยบายประชานิยมหรือโครงการเร่งด่วนของรัฐบาล ด้วยมาตรการ 3 แนวทาง คือ 1.มาตรการในการหารายได้มารองรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ผ่านการปฏิรูประบบภาษี ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ภาครัฐแล้ว ยังช่วยสร้างความเป็นธรรมด้านภาษีได้อีกด้วย 2.การปรับปรุงการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 3.การสร้างภาคีสังคมนอกเหนือจากภาครัฐให้เข้ามามีบทบาทในการให้สวัสดิการผู้สูงอายุอันเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับภาครัฐได้

การปฏิรูประบบภาษีนั้นจะช่วยให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยการสร้างฐานข้อมูลผู้เสียภาษี เพื่อช่วยตรวจสอบและติดตามการเสียภาษี ซึ่งสามารถดำเนินการร่วมกับฐานข้อมูลบัตรประชาชนและควรมีการสร้างแรงจูงใจและบทลงโทษด้วย (เช่น ผู้ที่ไม่ยอมให้ข้อมูลรายได้อาจพิจารณาในเรื่องการต่ออายุบัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น) การขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมผู้ที่สมควรเสียภาษี แต่ยังไม่ได้เสียภาษี โดยมีระบบการประเมินภาษีที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

นอกจากนี้ ควรทบทวนการลดหย่อนและยกเว้นภาษี การเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มและระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ส่วนการบริหารจัดการที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและลดค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งประกอบด้วยการบริหารจัดการ เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของสิทธิสวัสดิการ การบริหารจัดการเพื่อเข้าถึงผู้สูงอายุกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม และการบริหารจัดการกองทุนผู้สูงอายุ สำหรับการสร้างภาคีด้านสวัสดิการผู้สูงอายุนั้น สามารถทำผ่านความร่วมมือกับองค์กรอิสระและองค์กรภาครัฐอื่นๆ

คณะผู้วิจัยได้ประมาณการรายได้ของรัฐที่จะเพิ่มขึ้นจากการปฏิรูประบบภาษีพบว่า การเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มกลับไปสู่อัตราปกติที่ร้อยละ 10 จะส่งผลต่อการเพิ่มของรายได้รัฐมากที่สุด และเพียงแค่รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มรายการเดียวก็สามารถนำไปจัดสรรให้แก่สวัสดิการผู้สูงอายุได้เกือบทั้งหมด แต่ในทางปฏิบัติคงทำได้ยาก จึงควรเพิ่มเติมด้วยมาตรการอื่นเช่น จัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักความเสมอภาคทางภาษีและมาตรการอื่นๆรวมทั้งทบทวนการลดหย่อนและยกเว้นภาษีอย่างเป็นระบบ

ปัจจุบันเป็นการลดหย่อนมากเกินไปและล้วนเป็นการลดขนาดของฐานภาษี ทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะค่าลดหย่อนหลายประการที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้มีรายได้สูง เช่นการซื้อกองทุน RMF และ LTF ควรพิจารณาลดผลประโยชน์ส่วนนี้ให้เหลือเท่าที่จำเป็น

สิ่งที่น่ากังวลสำหรับคนวัยทำงานปัจจุบัน ซึ่งมีภาวะอยู่ตัวคนเดียวมากขึ้นและในอีก 10-20 ปีข้างหน้าจะกลายเป็นผู้สูงอายุ ควรเตรียมความพร้อมด้วยการเก็บออม เพื่อนำมาใช้จ่ายเพิ่มเติมจากสวัสดิการพื้นฐานจากรัฐให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเพียงพอตามที่ต้องการในวัยสูงอายุ

"การจัดสวัสดิการสังคมจะต้องคำนึงถึงความเพียงพอและความซ้ำซ้อน โดยเป็นระดับสวัสดิการที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ ส่วนความซ้ำซ้อนเกิดจากการออกแบบโครงการมากกว่าหนึ่งโครงการ แต่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันหรือทับซ้อนกัน..."

ที่มา: นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันที่ 21 กันยายน 2555