ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

ไบโอฟาร์มฯ ระบุ กลุ่มทุนมาเลเซีย สิงคโปร์ ไล่เทกฯ โรงงานผลิตยาไทยรับเออีซี หวั่นนโยบายคุมราคายาทำผู้ผลิตปิดโรงงานหนีต้นทุนพุ่ง วอนรัฐหนุน

นายวีระพัฒน์ ถกลศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มนักลงทุนจากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ สนใจเข้าซื้อกิจการโรงงานผลิตยาในประเทศไทยจำนวนมากเพื่อใช้เป็นฐานการผลิต(ฮับ) ยา ส่งออกไปยังกลุ่มสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) เนื่องจากไทยมีสถานที่ตั้งเป็นศูนย์กลางมีระบบการขนส่งที่ดี รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย. กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกนโยบายให้โรงงานใช้มาตรฐานการผลิตPIC/S ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาระดับสากล สร้างการยอมรับวงการผลิตยา

นอกจากนี้ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพเป็นฮับด้านการผลิตยาในอาเซียนได้ หากรัฐบาลให้การสนับสนุนและมีแนวทางการส่งเสริมที่ชัดเจน เช่น การให้แรงจูงใจด้านเงินทุนเพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการก้าวเข้าสู่มาตรฐาน PIC/S มากขึ้น เนื่องจากมาตรฐานดังกล่าวต้องใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ในการปรับเปลี่ยนมาตรฐานผลิตมาตรการลดหย่อนภาษีนิติบุคคลให้กับโรงงานยา

"ประเทศไทยมีโรงงานผลิตยากว่า 160 แห่ง มีเพียงบริษัทรายเดียวที่ได้มาตรฐานPIC/S เพราะต้องใช้งบลงทุนสูง รัฐควรมีอินเทนซีฟให้ เพราะขณะนี้จากนโยบายคุมราคายาของภาครัฐทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนหนัก คาดในอนาคตมาตรการนี้จะทำให้รายย่อยปิดตัวโรงงานและเลย์ออฟคนงานหลายแห่ง" นายวีระพัฒน์ กล่าว

สำหรับผลกระทบที่ผู้ประกอบการในส่วนร้านยาที่จะได้รับหลังเปิดเออีซี มองว่ากลุ่มนักลงทุนจะสนใจเข้ามาลงทุนในรูปแบบเชนดรักส์สโตร์ การขยายช่องทางจำหน่ายเข้าสู่โมเดิร์นเทรด มีความครบวงจรในการซื้อสินค้าแบบวันสต็อปเซอร์วิส มากกว่าเจาะจงเข้าร้านยาเพื่อซื้อยาเท่านั้น ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพิ่มคุณภาพการบริการมากขึ้น สร้างเครือข่ายพันธมิตร สร้างอำนาจต่อรองซื้อยา รวมถึงเพิ่มช่องทางจำหน่ายหลากหลาย โดยเฉพาะซื้อขายยาผ่านออนไลน์

ด้านภาพรวมตลาดในประเทศมีแนวโน้มเติบโตลดลง ปีนี้โตเฉลี่ย 7% มูลค่าการบริโภค 1.1 แสนล้านบาท เทียบจากที่ผ่านมาโตตัวเลขสองหลัก เนื่องจากนโยบายควบคุมการจ่ายยาของภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการใช้ยาผ่านโรงพยาบาลสัดส่วน 70% ร้านขายยา 30% ในอนาคตเชื่อการจำหน่ายผ่านร้านยาจะโตต่อเนื่อง

นายวีระพัฒน์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนรับมือการเปิดเออีซี ปี 2558 โดยใช้งบ 400 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตสินค้าและปรับปรุงโรงงานผลิตยาให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งบริษัทจะเน้นผลิตสินค้าในกลุ่มอาหารเสริมมากขึ้น เนื่องจากหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคายา รวมถึงกลุ่มอาหารเสริมมีแนวโน้มการเติบโตสูงและมีผลกำไรสูงกว่ายา ในปีหน้าเตรียมออกสินค้าใหม่ 4-5 ตัว ส่วนการส่งออก 20% ของยอดขาย เตรียมขยายตลาดไปกัมพูชาเวียดนาม และพม่า

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2555